คดีได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นสรรพากรจังหวัดเพ็ชร์บุรี จำเลยที่ ๒ เป้นเสมียนจำเลยที่ ๑ ได้ใช้จำเลยที่ ๒ ไปเบิกเงินมาจากคลังเพื่อซ่อมแซมบ้านที่จำเลยที่ ๑ พัก เป็นเงิน ๘๒๖ บาท เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินแล้วก็หาจัดการซ่อมแซมที่พักไม่กลับยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียโดยเจตนาทุจจริต โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๓๑ และมาตรา ๒๑๙(๓)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๓๑ ที่แก้ไขเพิ่มเติมจำคุก ๕ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องปล่อยตัวไป
โจทก์จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดของจำเลยที่ ๑ ยังไม่ต้องด้วยบทมาตรา ๑๓๑ แต่ต้องด้วยมาตรา ๓๑๙ ข้อ ๓ เพราะจำเลยอยู่ในฐานะที่มีหน้าที่ต้องจัดการซ่อมแซมที่พักของรัฐบาลทีให้จำเลยอาศัยอยู่ จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ สามปี
โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงได้แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า เงินรายนี้ได้เบิกมาเพื่อจัดการซ่อมแซมบ้านที่จำเลยพัก จำเลยได้รับเงินรายนี้แล้วเพื่อจัดการซ่อมแซมฉะนั้นเงินรายนี้มิได้อยู่ในความรักษาของจำเลย ในตำแหน่งราชการสรรพากรต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่าจำเลยได้รับเงินไปจัดการซ่อมแซมบ้านที่จำเลยพัก คดีจึงไม่พอให้ฟังว่าจำเลยรับเงินไปจัดการซ่อมแซมในฐานะที่เป้นหน้าที่ของจำเลย คดีไม่เป็นผิดตามมาตรา ๑๓๑ และ ๓๑๙ (๓) แต่เป็นความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๑๔ ซึ่งโจทก์จะไม่ได้อ้างมาตรา ๓๑๔ มา ศาลก็ลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ได้ เพราะคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวเป้นความผิดตามมาตรานี้มาด้วยและอยู่ในข่ายที่ดจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย ๓ ปีตามกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๔ นอกจากนี้ยืนตามศาลอุทธรณ์