คดีสืบเนื่องจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 21863 จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1 งาน 22 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของนายรชต์เขตต์ตามเดิม
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำพิพากษา (ที่ถูก คำสั่ง) ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ประมาณปี 2550 นายรชต์เขตต์ได้รับหนังสือแจ้งประเมินภาษีอากรจากผู้คัดค้านให้ชำระภาษีอากรจำนวน 267,880,741 บาท (ยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) วันที่ 11 มกราคม 2551 นายรชต์เขตต์ไม่เห็นด้วยจึงยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ วันที่ 19 มีนาคม 2551 ผู้คัดค้านโดยอธิบดีกรมสรรพากร ประกาศคำสั่งให้ยึดทรัพย์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 21863 เลขที่ดิน 122 จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีชื่อนายรชต์เขตต์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระภาษีอากรค้างดังกล่าว และเจ้าพนักงานของผู้คัดค้านไปทำการยึดที่ดินพิพาทไว้วันที่ 4 เมษายน 2551 ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2553 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของนายรชต์เขตต์ นายรชต์เขตต์จึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากรและเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวต่อศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลางให้ยกฟ้องโจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของนายรชต์เขตต์หรือไม่ โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านยึดที่ดินพิพาทไว้เพื่อขายทอดตลาดก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อคำร้องขอของผู้ร้องเป็นเพียงการร้องเพื่อขอให้รับรองสิทธิย่อมไม่มีการบังคับคดีแก่ผู้ใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง การที่ผู้ร้องนำคำสั่งศาลไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินและเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินจึงไม่ทำให้การบังคับคดีเสร็จสิ้นลง ผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิเสมือนเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดที่ดินพิพาทไว้เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระค่าภาษีอากรค้างของนายรชต์เขตต์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 นายรชต์เขตต์เจ้าของเดิมสมรู้ร่วมคิดกับผู้ร้องหลบเลี่ยงการถูกบังคับคดีที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งยึดที่ดินพิพาทไว้จึงต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ทวิ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์โดยไม่สุจริตและครอบครองที่ดินพิพาทยังไม่ครบ 10 ปี นายแดงบิดาผู้ร้องไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทคืนมาจากนายรชต์เขตต์ ผู้ร้องไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาเบิกความสนับสนุน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของนายรชต์เขตต์ตามเดิมนั้น เห็นว่า แม้คดีนี้ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จนกระทั่งมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสิทธิให้ผู้ร้องมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทแล้วโดยไม่มีการออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ตาม แต่ผู้ร้องอาจนำคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวไปใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ ทั้งยังทำให้ผู้คัดค้านสิ้นสิทธิในการบังคับคดีแก่ที่ดินพิพาทที่ยึดไว้นั้นได้ เพราะที่ดินพิพาทไม่ใช่ของนายรชต์เขตต์ลูกหนี้ของผู้คัดค้านอีกต่อไป ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลและชอบที่จะยื่นคำร้องขอสอดเข้ามาในคดีได้ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ฎีกาของผู้คัดค้านในส่วนนี้ฟังขึ้น ส่วนประเด็นที่ผู้คัดค้านฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของนายรชต์เขตต์ตามเดิม โดยอ้างว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ความจริงแล้วผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทยังไม่ครบ 10 ปีนั้น เห็นว่าคดีนี้ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2548 แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2551 ผู้คัดค้านอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ยึดที่ดินพิพาทของนายรชต์เขตต์เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง ตามประกาศกรมสรรพากร (ภ.ส. 18 )เรื่อง ให้ยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ฉบับลงวันที่ 19 มีนาคม 2551 โดยผู้คัดค้านปิดประกาศดังกล่าวไว้ ณ ที่ดินพิพาทและส่งสำเนาประกาศยึดที่ดินพิพาทให้นายรชต์เขตต์โดยชอบแล้ว เมื่อผู้คัดค้านยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้างในวันที่ 4 เมษายน 2551 ก่อนที่ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทครบ 10 ปี กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เพราะสิทธิของผู้ร้องถูกกระทบโดยการยึดทรัพย์ของผู้คัดค้านที่อาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร แม้ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้ร้องคัดค้านเข้ามาในคดีในศาลชั้นต้นจึงถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นบุคคลภายนอก คำสั่งศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ผูกพันผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) ผู้คัดค้านจึงสามารถพิสูจนได้ว่า ที่ดินพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายรชต์เขตต์ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 21863 จังหวัดพิษณุโลก ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และให้ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายรชต์เขตต์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ