โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2542 เวลากลางวันจำเลยกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนิตยา กลิ่นชิด ผู้เสียหาย อายุ 13 ปีเศษ ด้วยการใช้มือโอบกอดโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและไม่สามารถขัดขืนได้ และประมาณปลายเดือนกรกฎาคมต้นเดือนสิงหาคมและวันที่ 20 สิงหาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายไปเสียจากนายบัตร กลิ่นชิด บิดาผู้เสียหาย เพื่อการอนาจารและตามวันเวลาดังกล่าวแต่ละครั้งจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและไม่สามารถขัดขืนได้ โดยจำเลยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ จนกระทั่งจำเลยสำเร็จความใคร่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,277, 278, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรก (ที่ถูกมาตรา 277 วรรคแรก), 279 (ที่ถูกมาตรา 279 วรรคสอง), 317 วรรคท้ายเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 6 เดือน ฐานกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนจำคุกกระทงละ 4 ปีรวม 3 กระทงเป็นจำคุก 12 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ5 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี รวมโทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารทุกกระทงคงให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานอื่น 6 ปี3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนิตยา กลิ่นชิด ผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมรวม 3 กระทงคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคท้าย หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังมาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุครั้งแรก เด็กหญิงนิตยา กลิ่นชิด ผู้เสียหายไปที่บ้านนายโต ได้พบนายโตและจำเลย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่บริเวณบ้านนายโตแล้วจำเลยตามเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหาย ครั้งที่สองผู้เสียหายขี่รถจักรยานไปหาเพื่อนผ่านบ้านนายโตพบจำเลย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำในวัดบ้านขอแล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สามผู้เสียหายขี่รถจักรยานกลับบ้านพบจำเลยบริเวณสะพานข้ามคลอง จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำบ้านนายบูลย์แล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหาย จากคำเบิกความของพยานโจทก์ประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.10 ได้ความว่าที่เกิดเหตุทุกแห่งอยู่ใกล้เคียงกันและเป็นสถานที่ที่ผู้เสียหายผ่านไปมาอยู่ตามปกติเป็นประจำ แม้จำเลยจะเป็นผู้สั่งให้ผู้เสียหายไปรอจำเลย ณ ที่เกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยก็ปล่อยให้ผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือพาผู้เสียหายไปที่อื่นใดอีก การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนามุ่งที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายเพียงอย่างเดียวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน