ขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖,๒๗๗,๒๗๘,๓๑๗,๙๑
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก (ที่ถูกมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก), ๒๗๙,๓๑๗ วรรคท้าย  เป็นความผิดหลายกรรม  เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๙๑ ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี จำคุก  ๖  เดือน  ฐานกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนจำคุกกระทงละ  ๔  ปี  รวม  ๓  กระทง  เป็นจำคุก  ๑๒  ปี  ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน  ๑๕  ปี  ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารจำคุกกระทงละ  ๕  ปี  รวม  ๓  กระทง  เป็นจำคุก  ๑๕  ปี  รวมโทษจำคุก  ๒๗  ปี  ๖  เดือน  จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  ๗๘  คงจำคุก  ๑๓  ปี  ๙  เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้ยกฟ้องความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน  ๑๕  ปี  ไปเพื่อการอนาจารทุกกระทง  คงให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานอื่น  ๖  ปี  ๓  เดือน  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า  ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนิตยา  กลิ่นชิด  ผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน ๑๕ ปี  และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมรวม  ๓  กระทง  คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการเดียวว่า  การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี  ไปจากบิดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๑๗  วรรคท้าย หรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ฟังมาได้ความว่า  ในวันเกิดเหตุครั้งแรก  เด็กหญิงนิตยา  กลิ่นชิด  ผู้เสียหายไปที่บ้านนายโต ได้พบนายโตและจำเลย  จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่บริเวณบ้านนายโตแล้วจำเลยตามเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหาย  ครั้งที่สองผู้เสียหายขี่รถจักรยานไปหาเพื่อนผ่านบ้านนายโตพบจำเลย  จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำในวัดบ้านขอแล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหาย  ครั้งที่สามผู้เสียหายขี่รถจักรยานกลับบ้านพบจำเลยบริเวณสะพานข้ามคลอง  จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำบ้านนายบูลย์แล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหาย  จากคำเบืกความของพยานโจทก์ประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุได้ความว่า  ที่เกิดเหตุทุกแห่งอยู่ใกล้เคียงกันและเป็นสถานที่ที่ผู้เสียหายผ่านไปมาอยู่ตามปกติเป็นประจำ  แม้จำเลยจะเป็นผู้สั่งให้ผู้เสียหายไปรอจำเลย  ณ  ที่เกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยก็ปล่อยให้ผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือพาผู้เสียหายไปที่อื่นใดอีก  การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนามุ่งที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว  ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม นั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
น.ส.อังคณา  สินเกษม                 ย่อ
นายไพโรจน์  โรจน์อภิรักษ์กุล    ตรวจ
นายวัส  ติงสมิตร                        ผู้ช่วย
นายโชติช่วง  ทัพวงศ์                 ผู้ช่วยฯ/ตรวจ