โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของนายวิจิตร แจ่มใส ผู้ตาย ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้ตายเป็นตัวแทนขายประกันให้แก่บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ตำแหน่งผู้จัดการหน่วยวิคตอรี่ โดยแยกการบริหารงานการขายมาบริหารเอง เมื่อได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการบริหารก็ให้บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด จ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ตายที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ ในการบริหารงานดังกล่าวผู้ตายได้จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างผู้ตาย ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนและตกลงจ่ายเงินผลประโยชน์ในบัญชีเงินฝากประจำข้างต้นให้โจทก์อีกครึ่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2543 ผู้ตายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของผู้ตายมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตร จำเลยที่ 4 เป็นภริยาของผู้ตายมีจำเลยที่ 5 และที่ 6 และที่ 7 เป็นบุตร เมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2543 โจทก์ได้ติดตามทวงถามจำเลยทั้งเจ็ดในฐานะทายาทของผู้ตายให้จ่ายค่าจ้างและผลประโยชน์แทนผู้ตาย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ส่วนจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ยินยอม จำเลยทั้งเจ็ดมีหน้าที่จ่ายเงินเดือนตั้งแต่เดือนมกราคม 2543 ถึงเดือนสิงหาคม 2545 รวม 32 เดือน เป็นเงิน 320,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 66,000 บาท และผลประโยชน์จากบัญชีเงินฝากประจำซึ่งมียอดเงินฝาก ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 จำนวน 2,078,646.64 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,039,232.32 บาท พร้อมดอกเบี้ย 415,692.93 บาท ซึ่งยังไม่รวมอีกครึ่งหนึ่งของยอดหลังวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 จนถึงวันปิดบัญชี รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 1,840,925.25 บาท โจทก์ไม่มีทางใดจะบังคับจำเลยทั้งเจ็ดได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดจ่ายเงินรวม 1,840,925.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งเจ็ดปิดบัญชีเงินฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ เลขที่ 125-2-10103-8 ของนายวิจิตร แจ่มใส แล้วนำยอดฝากก่อนและหลังจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 มาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ดให้โจทก์มีอำนาจปิดบัญชีนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทันที ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะยุบหน่วยวิคตอรี่หรือปิดบัญชีเสร็จสิ้นแล้ว ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจ่ายเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังปิดบัญชีตามข้อ 2 ถึงวันยุบหน่วยวิคตอรี่ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งของผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระตามข้อ 3 และ 4 ให้จำเลยทั้งเจ็ดเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดที่ค้างชำระแต่ละยอด นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้พิทักษ์ นายวิจิตร แจ่มใส เป็นตัวแทนขายประกันชีวิตให้แก่บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยวิคตอรี่แยกบริหารงานการขายประกันออกจากบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด เมื่อนายวิจิตร แจ่มใส ถึงแก่ความตายในวันที่ 14 มกราคม 2543 สัญญาจ้างโจทก์ย่อมระงับ ทั้งตามสัญญาจ้างเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 โจทก์มีสิทธิยุบหน่วยวิคตอรี่ แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายวิจิตร แจ่มใส จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้โจทก์รวม 32 เดือน รวมเป็นเงิน 320,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 66,000 บาท ตามฟ้อง ส่วนเงินผลประโยชน์ตามบัญชีเงินฝากประจำครึ่งหนึ่งไม่ใช่เป็นเงินที่มีลักษณะเป็นค่าตอบแทนในการทำงานหรือเป็นสินจ้าง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ขาดนัด
จำเลยที่ 6 แถลงไม่ประสงค์ยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลแรงงานกลางอนุญาต
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินเดือนค้าจ่ายจำนวน 320,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 66,000 บาท เงินผลประโยชน์ค้างจ่าย 1,039,232.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 415,692.93 บาท รวมเป็นเงินค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยทั้งสิ้นจำนวน 1,840,925.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งเจ็ดนำเงินในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 125-10103-8 สาขาสุรวงศ์ ของนายวิจิตร แจ่มใส จำนวนครึ่งหนึ่งของยอดเงินฝากก่อนและหลังวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 มาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ดกับให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท และเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจำนวนครึ่งหนึ่งจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะยุบหน่วยวิคตอรี่ (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545) หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระเงินเดือนตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 กับเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก่อนวันยุบหน่วยวิคตอรี่ ก็ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของยอดเงินที่ค้างชำระแต่ละยอด นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย คำขอนอกเหนือจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับนายวิจิตร แจ่มใส ผู้เป็นนายจ้างมีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวนายวิจิตรย่อมระงับสิ้นไปด้วยความตายแห่งนายวิจิตรนายจ้างหรือไม่ ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายวิจิตรจ้างโจทก์ทำงานในหน่วยวิคตอรี่ บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ตามเอกสารหมาย จ. 1 จ. 2 และ จ. 4 โดยโจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ตามสัญญาจ้างแรงงาน เอกสารหมาย จ. 1 ข้อ 2 มีข้อความว่า เมื่อนายวิจิตรถึงแก่ความตายขอมอบให้โจทก์มีสิทธิยุบหน่วยวิคตอรี่ตามที่เห็นสมควร ทั้งบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ยังคงให้สิทธิแก่ทายาทโดยธรรมของนายวิจิตรที่จะเข้ารับช่วงบริหารงานในหน่วยวิคตอรี่ต่อไปในกรณีที่นายวิจิตรซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยวิคตอรี่ถึงแก่ความตาย ภายหลังจากนายวิจิตรถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2543 จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 (ที่ถูกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7) ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายวิจิตรได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ. 11 ขอให้ทางบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด จัดสรรเงินเดือนของโจทก์ผู้ช่วยบริหารงานหน่วยวิคตอรี่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2543 ถึงเดือนมกราคม 2545 รวม 25 เดือน เป็นเงินจำนวน 250,000 บาท และเงินเดือนประจำทุกวันสิ้นเดือนจำนวน 10,000 บาท ให้แก่โจทก์ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นได้ว่าแม้นายวิจิตรจะถึงแก่ความตาย หน่วยวิคตอรี่ก็ยังคงสามารถดำรงอยู่และบริการลูกค้าของบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ต่อไปได้ หาใช่ว่าหน่วยงานนี้ต้องยุบไปในทันทีที่นายวิจิตรถึงแก่ความตายแต่อย่างใดไม่ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับนายวิจิตรจึงหามีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวนายวิจิตรผู้เป็นนายจ้างไม่ แม้นายวิจิตรจะถึงแก่ความตายสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวก็ไม่ระงับสิ้นไปด้วยความตายแห่งนายวิจิตรผู้เป็นนายจ้าง คำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อต่อไปซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้รับไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดมอบผลประโยชน์เงินสะสมตามสัญญาจ้างงาน เอกสารหมาย จ. 1 ข้อ 2 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาจ้างงานเอกสารหมาย จ. 1 ข้อ 2 ระบุว่า "ข้าพเจ้า (นายวิจิตร) ในฐานะนายจ้างยินดีจ่ายเงินสะสมในบัญชีของข้าพเจ้า บัญชีฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสุรวงศ์ บัญชีเลขที่ 125-2-10103-8 ให้แก่นางพิศมัย มูรพันธุ์ (โจทก์) ในฐานะลูกจ้างครึ่งหนึ่ง (50%) เมื่อข้าพเจ้ามีความประสงค์ยุบหน่วยวิคตอรี่และหรือเมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมขอมอบให้นางสาวพิศมัย มูรพันธุ์ มีสิทธิยุบหน่วยวิคตอรี่ตามที่เห็นสมควร" ตามข้อสัญญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สิทธิของโจทก์ที่จะพึงได้รับเงินสะสมจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวของนายวิจิตรครึ่งหนึ่งก็ต่อเมื่อมีการยุบหน่วยวิคตอรี่แล้วนั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่โจทก์และฝ่ายจำเลยนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของศาลแรงงานกลางว่าบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด สั่งให้ยุบหน่วยวิคตอรี่ ลงตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย ลต. 1 แต่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งหมดในฐานะทายาทโดยธรรมของนายวิจิตรแบ่งเงินฝากของนายวิจิตรตามบัญชีเงินฝากท้ายคำฟ้องเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 อันเป็นเวลาก่อนที่จะมีการยุบหน่วยวิคตอรี่ ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดมอบผลประโยชน์เงินสะสมตามสัญญาจ้างงาน เอกสารหมาย จ. 1 ข้อ 2 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจำนวนครึ่งหนึ่งจากบัญชีเงินฝากประจำของนายวิจิตร แจ่มใส ตามคำฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากคำพิพากษานี้เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้คำพิพากษานี้มีผลระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยทั้งเจ็ดปิดบัญชีเงินฝากของนายวิจิตรตามฟ้องแล้วนำมาแบ่งจ่ายให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.