คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีอาญาของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ คม.75/2561 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นายพรชัย จำเลย และหมายเลขแดงที่ คม.77/2561 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นางสาวนางหรือเก๋ หรือ Miss Somvang จำเลย โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ คม.75/2561 ว่า จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนนี้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ และเรียกจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ คม.77/2561 ว่า จำเลยที่ 4 แต่คดีหมายเลขแดงที่ คม.75/2561 สำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคดีหมายเลขแดงที่ คม.77/2561 สำหรับจำเลยที่ 4 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีสำนวนนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83, 91, 282 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 4, 9 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 4, 6, 9, 10, 35, 52 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26, 78 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 335,440 บาท และ 382,740 บาท ตามลำดับ บวกโทษจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษเข้ากับโทษในคดีนี้กับขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย ริบรถจักรยานยนต์และถุงยางอนามัยของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยที่ 1 แก้คำให้การเป็นรับสารภาพข้อหาร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม และข้อหาร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและขอเพิ่มโทษ
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวนแล้วหลบหนีไป ศาลชั้นต้นออกหมายจับแล้วแต่ยังจับตัวมาไม่ได้ ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยที่ 3 ได้ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. 2559 มาตรา 33 (3)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสองและวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง) วรรคสอง และวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 10 วรรคหนึ่ง, 52 วรรคสองและวรรคสาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (2) (ที่ถูก 26 (3)), 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และฐานร่วมกันชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 9 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 36 ปี ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม ฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และฐานร่วมกันชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 12 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 48 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 87 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 116 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม และฐานร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีและบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ส่วนจำเลยที่ 4 คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 77 ปี 2 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 58 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นำโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6298/2559 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี 6 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ 1 คัน และถุงยางอนามัย 2 ชิ้น ของกลาง ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 335,440 บาท และให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 382,740 บาท
จำเลยที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง พันตำรวจโทนรามินธร์ สืบทราบว่ามีหญิงอายุต่ำกว่าสิบแปดปีหลายคนมีพฤติการณ์ขายบริการทางเพศที่ร้านคาราโอเกะ จึงวางแผนล่อซื้อ โดยนำธนบัตรฉบับละ 500 บาท 100 บาท 50 บาท และ 20 บาท จำนวนหลายฉบับ เป็นเงิน 3,000 บาท ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ แล้วมอบให้ร้อยตำรวจเอกชาติวรรธน์ และดาบตำรวจณัฐวัฒน์ ไปล่อซื้อ ต่อมาดาบตำรวจณัฐวัฒน์เดินทางไปที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวและล่อซื้อบริการทางเพศจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งมีอายุ 13 ปีเศษ โดยมอบธนบัตรที่เตรียมไว้ให้จำเลยที่ 1 รับไป แล้วพาผู้เสียหายที่ 2 ไปที่โรงแรม ก. สักพักร้อยตำรวจเอกชาติวรรธน์กับพวกเดินทางโดยรถยนต์ไปที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวและล่อซื้อบริการทางเพศจากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุ 16 ปีเศษ โดยมอบธนบัตรที่เตรียมไว้ให้จำเลยที่ 1 รับไป จากนั้นร้อยตำรวจเอกชาติวรรธน์กับพวกเดินทางไปรอที่โรงแรม ล. จำเลยที่ 1 มอบเงินที่ได้จากการขายบริการทางเพศให้แก่นางสาวโบ สักพักจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางพาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่โรงแรมดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 และติดตามตรวจยึดธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งหมดกลับคืนมาได้ ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจขยายผลและติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายทั้งสองค้าประเวณีที่ร้านที่เกิดเหตุก่อนเจ้าพนักงานตำรวจล่อซื้อบริการมาคนละ 3 ครั้ง แล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 335,440 บาท และแก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 382,740 บาท
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่มีเหตุจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 โดยไม่เป็นความจริง ทั้งผู้เสียหายทั้งสองก็เป็นเด็กซึ่งอยู่ในวัยที่ไม่มีจริตเสแสร้งแกล้งแต่งเรื่องขึ้นเอง และยังเบิกความสอดรับกันในสาระสำคัญเป็นลำดับตั้งแต่ถูกชักชวนให้มาขายบริการทางเพศที่ประเทศไทยจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจล่อซื้อและจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้ เชื่อว่าผู้เสียหายทั้งสองเบิกความตามความจริง แม้จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนร่วมในการชักชวนผู้เสียหายทั้งสองมาทำงานขายบริการทางเพศ และขณะเจ้าพนักงานตำรวจล่อซื้อบริการทางเพศจากผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ที่ร้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 เดินทางไปรับตัวผู้เสียหายทั้งสองที่จังหวัดนครราชสีมาด้วยตนเอง และยังให้ผู้เสียหายทั้งสองนอนค้างคืนที่บ้านของจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 1 สลับกันขับรถกระบะพาผู้เสียหายทั้งสองมาที่ร้านที่เกิดเหตุ ก่อนผู้เสียหายทั้งสองขายบริการทางเพศจำเลยที่ 2 ยังเป็นผู้หนึ่งที่บอกผู้เสียหายทั้งสองว่ามีหน้าที่แต่งตัวมานั่งที่หน้าร้าน และจะให้ส่วนแบ่งจากการขายบริการทางเพศแก่ผู้เสียหายทั้งสองคนละครึ่ง ซึ่งเป็นการบอกขั้นตอนของการขายบริการทางเพศแก่ผู้เสียหายทั้งสอง ชั้นสอบสวนร้อยตำรวจเอกณัฏฐพร พนักงานสอบสวนได้สอบสวนขยายผลโดยได้สัญญาเช่าบ้าน ซึ่งเป็นร้านที่เกิดเหตุมาเป็นหลักฐาน ปรากฏว่าสัญญาเช่ามีจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่า และจำเลยที่ 2 เป็นพยาน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้เช่าร้านที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นพยาน แต่จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นจับกุมว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างจากนางเล็กและนายหน่องหรืออ้วนในการรับเงินค่าบริการทางเพศและส่งหญิงบริการให้แก่ลูกค้า และจำเลยที่ 3 ให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 3 เป็นคนรักของนายหน่องหรือนายอนุชิตซึ่งเป็นชื่อเล่นและชื่อจริงของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ดูแลร้านที่เกิดเหตุ นางสาวเก๋ซึ่งหมายถึงจำเลยที่ 4 ชักชวนผู้เสียหายทั้งสองมาทำงานที่ร้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยจำเลยที่ 4 ขอจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับตัวผู้เสียหายทั้งสองมาทำงานขายบริการทางเพศที่ร้านที่เกิดเหตุ ดังนี้ แม้คำให้การดังกล่าวเป็นพยานซัดทอดและจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงชื่อในบันทึกการจับกุม แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 2 และไม่มีเรื่องโกรธเคืองกัน ไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะแกล้งให้การปรักปรำจำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานตำรวจก็จัดทำบันทึกคำให้การดังกล่าวโดยปฏิบัติไปตามหน้าที่ กรณีมีเหตุผลอันหนักแน่นจึงรับฟังคำให้การดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังเคยเดินทางไปที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวพร้อมกัน คือ วันที่ 8 สิงหาคม 2560 เวลา 13.09 นาฬิกา และเวลา 13.10 นาฬิกา และกลับพร้อมกันในวันที่ 8 สิงหาคม 2560 เวลา 19 นาฬิกา เลขกำกับที่ 12/11 และ 12/9 พฤติการณ์ตามคำให้การดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นสอดรับกัน บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และมีส่วนในการเช่าร้านที่เกิดเหตุ คำให้การของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวนในส่วนที่ว่าจำเลยที่ 4 ขอจำเลยที่ 2 ให้รับผู้เสียหายทั้งสองมาขายบริการทางเพศที่ร้านที่เกิดเหตุก็สอดรับกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ตามคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสอง บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในการจัดหาผู้เสียหายทั้งสองมาขายบริการทางเพศและได้รับส่วนแบ่งจากเงินค่าขายบริการทางเพศ ส่วนที่ดาบตำรวจประยูร พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ส่งมอบเงินที่ใช้ล่อซื้อบริการทางเพศแก่นางสาวโบ ไม่ได้ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมได้ความว่าขณะนั้นจำเลยที่ 2 ไม่อยู่ จึงมอบเงินให้แก่นางสาวโบเก็บไว้ ข้อนี้จึงหาเป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 2 ไม่มีน้ำหนักหักล้าง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ผู้เสียหายทั้งสองเป็นชาวลาว แต่ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาพนักงานสอบสวนและโจทก์ไม่ได้จัดหาล่ามให้แก่ผู้เสียหายทั้งสอง คำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสองเข้าใจภาษาไทยโดยสามารถฟังและพูดภาษาไทยได้ ไม่จำเป็นต้องจัดหาล่ามให้แก่ผู้เสียหายทั้งสองอีก คำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองจึงรับฟังได้ ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกตั้งแต่สามคนขึ้นไปสมคบกันจัดหาผู้เสียหายทั้งสองมาค้าประเวณีที่ร้านที่เกิดเหตุและได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณีของผู้เสียหายทั้งสอง ซึ่งผู้เสียหายทั้งสองได้ขายบริการทางเพศแล้วคนละ 4 ครั้ง จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องโดยแบ่งหน้าที่กัน อย่างไรก็ตาม แม้การร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป พาไปหรือชักพาผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อการอนาจารหรือเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีรวมทั้งการร่วมกันชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด ที่กระทำแก่ผู้เสียหายแต่ละคนในแต่ละครั้งอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ แต่การที่ผู้เสียหายทั้งสองขายบริการทางเพศคนละ 4 ครั้ง ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1.2 ถึงข้อ 1.9 เกิดจากเจตนาร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานอื่นดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่ที่ร่วมกันกระทำแก่ผู้เสียหายทั้งสองตั้งแต่แรกเพียงเจตนาเดียว การขายบริการทางเพศที่เนื่องมาย่อมไม่เป็นความผิดต่างกรรมไปจากความผิดฐานร่วมกันค้ามนุษย์และฐานอื่นดังกล่าวแต่ละฐานอีก จึงไม่อาจลงโทษในการกระทำที่กระทำแต่ผู้เสียหายทั้งสองแยกเป็นคนละ 4 กระทงได้ และปัญหานี้เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมิได้อุทธรณ์หรือฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี จำคุกคนละ 9 ปี กระทงเดียว และฐานร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปทำการค้ามนุษย์แก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี จำคุกคนละ 12 ปี กระทงเดียว เมื่อรวมกับโทษฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำคุกคนละ 3 ปี เป็นจำคุกคนละ 24 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 32 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี 4 เดือน และคงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 16 ปี นำโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้รวมเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี 10 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์