โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 92, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 55, 72, 72 ทวิ, 78 เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 55, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการการรื่นเริง จำคุก 2 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียว เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 17 ถึง 19 นาฬิกา ขณะที่ประชาชนเล่นน้ำประเพณีสงกรานต์บริเวณถนนสุทธิสารวิจัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร รวมทั้งบริเวณปากซอยอินทามระ 23 และ 25 มีคนร้ายหลายคนร่วมกันมีและพาอาวุธปืนสั้นและอาวุธปืนยาวหลายชนิดเดินมาจากปากซอยอินทามระ 23 ไปยังซอยอินทามระ 25 ระหว่างเดินใช้อาวุธปืนที่มีและพาดังกล่าวยิงขึ้นท้องฟ้าหลายนัด เมื่อถึงปากซอยอินทามระ 25 คนร้ายหยุดเดินและใช้อาวุธปืนระดมยิงเข้าไปในซอยอินทามระ 25 หลายนัด กระสุนปืนถูกนายแจ๊ค และนายศรัณย์ ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้นายแจ๊คถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน กระสุนปืนและหัวกระสุนปืนหลายชนิดตกอยู่บนถนนจึงยึดไว้เป็นของกลาง พนักงานสอบสวนส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด .45 (11 มม.) ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 (11 มม.) เป็นกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER ใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้ ส่วนปลอกกระสุนปืนเป็นปลอกกระสุนปืนเล็กกล ขนาด .223 (5.56 มม.) เป็นเครื่องกระสุนปืนแบบที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด .45 (11 มม.) ปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER และปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 ตรวจสอบข้อมูลจำเลยแล้วไม่พบข้อมูลการได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน รวมทั้งไม่พบการได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการการรื่นเริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องเป็นการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่ โจทก์มีนางณัฐณิชา เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุเห็นกลุ่มวัยรุ่นใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในซอยอินทามระ 25 โดยในกลุ่มคนร้ายมีจำเลยรวมอยู่ด้วย จำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์สะพายปืนยาวไว้ด้านหลังและมีเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มคนร้ายซ้อนท้ายไปอีก 2 คน พยานเห็นจำเลยตั้งแต่ที่จำเลยกับพวกยืนเป็นรูปตัวยูปิดหน้าซอยอินทามระ 25 แล้ว พยานรู้จักจำเลยมาก่อน เนื่องจากอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจนำภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นภาพของจำเลยมาให้พยานชี้ยืนยัน พยานก็ชี้ยืนยันว่าเป็นคนร้าย แม้ในคำให้การชั้นสอบสวน พยานจะให้การเกี่ยวกับคนร้ายไม่ระบุถึงตัวจำเลยด้วย แต่ในชั้นให้การเพิ่มเติม คือชั้นที่ดูภาพจากกล้องวงจรปิด พยานก็ยืนยันว่าวันเกิดเหตุเห็นจำเลยและพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย แต่จำเลยจะเอารถจักรยานยนต์มาขับหลบหนีภายหลังอย่างไรนั้น พยานไม่ทราบ ซึ่งการให้การเพิ่มเติมลักษณะดังกล่าวก็เป็นการให้การเพิ่มเติมในขณะที่ดูภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของคนร้ายต่าง ๆ ที่ร่วมก่อเหตุหลายคน ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงจำเลยเท่านั้น กรณีจึงไม่ถึงกับฟังเป็นพิรุธสำหรับข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานปากนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานอื่นคือนางสาวน้องโบว์ เบิกความเกี่ยวกับการเห็นคนร้ายว่าคนร้ายมีหลายคน ส่วนที่ไม่ระบุชื่อทุกคน ก็เป็นไปตามการตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานบอกชื่อวัยรุ่นที่ก่อเหตุเพียง 2 คน ซึ่งรู้จัก ส่วนวัยรุ่นที่เหลือไม่รู้จักพยานจึงไม่ได้ให้การถึง นอกจากนี้แล้วพันตรวจตรีสามารถ พยานโจทก์ซึ่งเป็นชุดสืบสวนก็เบิกความยืนยันว่า ได้มีการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เปิดดูกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุพบว่ากล้องวงจรปิดจับภาพจำเลยได้ อีกทั้งวัยรุ่นที่ก่อเหตุและจำเลยนั้น พยานรู้จักดี เมื่อพิจารณาประกอบกันแล้วจึงต่างสนับสนุนถึงข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ โดยจำเลยอ้างว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกมาหน้าปากซอยอินทามระ 10 ระหว่างนั้นเห็นนายสมพงศ์ ขับรถจักรยานยนต์จะเลี้ยวเข้ามาในซอยอินทามระ 10 แล้วรถจักรยานยนต์ล้มลง จำเลยจึงเข้าไปช่วย ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืน เมื่อช่วยนายสมพงศ์ยกรถขึ้นแล้วก็ขับรถนายสมพงศ์ไปบริเวณหน้าปากซอยอินทามระ 25 แต่นายสมพงศ์กลับเบิกความว่า ขณะที่ตนกลับมาถึงบ้าน จำเลยซึ่งอยู่บริเวณบ้านได้ยืมรถจักรยานยนต์ของพยานออกไปในช่วงเวลาใกล้ 19.00 นาฬิกา จึงขัดแย้งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความ อีกทั้งในคำเบิกความของจำเลยก็กล่าวอ้างในลักษณะที่ว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการให้การช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไป หากจะมีความผิดก็ผิดฐานช่วยเหลือผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษและช่วยพาหลบหนีไปจึงไม่ให้จับกุมตัวนั้น ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปในลักษณะดังที่จำเลยกล่าวอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ได้ร่วมก่อเหตุ จำเลยสามารถที่จะกล่าวอ้างและนำสืบต่อสู้ยืนยันข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เห็นชัดเจนบนพื้นฐานของพยานหลักฐาน กรณีกลับเป็นว่าพฤติการณ์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยกล่าวเป็นเรื่องพัวพันเข้ามาในเหตุการณ์การก่อเหตุในคดีนี้ กรณีจึงฟังเป็นพิรุธสำหรับจำเลยอีกประการหนึ่ง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างได้ ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยไม่ขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง กับความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้ในบทมาตราเดียวกัน เมื่อจำเลยร่วมกันมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนดังกล่าวเพื่อความประสงค์อันเดียวกันและร่วมกันใช้อาวุธปืนต่อเนื่องจากการร่วมกันมีอาวุธปืน ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งนั้นจึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการการรื่นเริง จำคุก 2 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจเพิ่มโทษโดยให้ยกคำขอเพิ่มโทษนั้นไม่ถูกต้อง เนื่องจากในการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การเพิ่มโทษจำเลยต้องเพิ่มโทษทุกกระทงความผิดเว้นแต่ในความผิดฐานใดที่ศาลลงโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกเกินห้าสิบปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมิได้เพิ่มโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการการรื่นเริง และศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยและแก้ไขเป็นการไม่ชอบ แต่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 และ 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์