โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91, 83, 33 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 265 แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 ปลอมหนังสือขอความอนุเคราะห์จัดซื้อหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" และปลอมใบเสร็จรับเงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิเป็นการกระทำต่อเนื่องกันและมีเจตนาเดียวกันเพื่อให้ได้เงินค่าหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" จากบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด การปลอมเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และการที่จำเลยที่ 2 นำหนังสือดังกล่าวและใบเสร็จรับเงินไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาเดียวกันเพื่อให้ได้เงินค่าหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" การใช้เอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิที่ปลอมขึ้นเอง จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์บรรยายความผิดฐานปลอมเอกสารและเอกสารสิทธิว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำปลอมขึ้นทั้งฉบับซึ่งหนังสือขอความอนุเคราะห์จัดซื้อหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" จำนวน 1 ฉบับ และใบเสร็จรับเงิน จำนวน 1 ฉบับ อันเป็นเอกสารและเอกสารสิทธิของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือขอความอนุเคราะห์จัดซื้อหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" จำนวน 1 ฉบับ ไปถึงนายออมสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้จัดซื้อหนังสือ "ศิลป์แผ่นดิน" ไว้เป็นที่ระลึกเพื่อหารายได้เป็นทุนให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ โดยพิมพ์ตราสัญลักษณ์ปลอมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และลงลายมือชื่อปลอมของ ดร.จิรายุ รองเลขาธิการพระราชวังและเหรัญญิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ลงในหนังสือขอความอนุเคราะห์จัดซื้อหนังสือดังกล่าว และพิมพ์ตราสัญลักษณ์ปลอมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ลงในแบบพิมพ์ใบเสร็จรับเงินดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดข้อความต่างๆ คล้ายคลึงกับใบเสร็จรับเงินของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถที่แท้จริง ซึ่งความจริงมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มิได้มีหนังสือขอความอนุเคราะห์ถึงนายออมสินและมิได้ออกใบเสร็จรับเงินเพื่อให้นายออมสินหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นหลงเชื่อว่าหนังสือขอความอนุเคราะห์จัดซื้อหนังสือและใบเสร็จรับเงินดังกล่าว เป็นเอกสารและเอกสารสิทธิที่แท้จริงที่มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้จัดทำขึ้น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ดร.จิรายุ และประชาชนทั่วไป ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายแล้วว่ามีการปลอมเอกสารและเอกสารสิทธิอย่างไร และใครเป็นผู้ปลอม เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน