โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยทั้งสองไม่ได้ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่โจทก์ฎีกาว่า หนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยทั้งสอง แม้เป็นภาพถ่ายไม่ใช่ต้นฉบับเอกสาร ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93(2) ได้บัญญัติข้อยกเว้นในการที่ศาลจะรับฟังสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลเป็นพยานหลักฐานได้นั้น ได้ตรวจคำเบิกความพยานโจทก์ทุกปากแล้ว ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบหรือแถลงโดยชัดแจ้งให้รับฟังได้ว่าต้นฉบับเอกสารหายสาบสูญหรือค้นหาไม่พบ หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นเพราะฉะนั้นจึงยังไม่เป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ซึ่งทำให้โจทก์มีสิทธินำสำเนา (หรือภาพถ่ายเอกสาร) หรือพยานบุคคลมาสืบได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่โจทก์อ้างส่งสำเนาเอกสารส่งศาลเป็นกรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นและการที่ศาลรับสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการที่ศาลอนุญาตให้โจทก์อ้างสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบโดยปริยายจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น เห็นว่า คดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามข้อยกเว้นของบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาในตอนต้นแล้ว ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นรับสำเนา (ภาพถ่าย) จะถือว่าเป็นกรณีที่มีข้อเท็จจริงอันเป็นข้อยกเว้นตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างหาได้ไม่ เพราะฉะนั้นจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ให้โจทก์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2518 อันจะทำให้อายุความในหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องสะดุดหยุดลง เมื่อหนี้ตามสัญญาทรัสทรีซีทรายนี้ถึงกำหนดชำระในปีพ.ศ. 2514 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2528 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้ออื่นอีกศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน