โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายปี 2534 จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ชื่อโครงการ พี.บี.4 จำนวน 1 หลัง ค่าจ้างก่อสร้าง รวมค่าวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 10,500,000 บาท แบ่งชำระรวม 10 งวดงวดละ 1,050,000 บาท หลังทำสัญญาโจทก์ได้ทำการก่อสร้างเรื่อยมา โจทก์ส่งมอบงานและเบิกค่าจ้างแต่ละงวดจากจำเลย โดยงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 8 โจทก์ตกลงให้จำเลยชำระค่าจ้างให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เป็นผู้รับเงินแทนโจทก์ซึ่งจำเลยชำระเงินครบถ้วนแล้ว ส่วนงวดที่ 9 จำเลยไม่ยอมชำระค่าจ้างให้โจทก์โดยอ้างว่างานที่ส่งมอบยังไม่เรียบร้อยให้โจทก์ซ่อมแซมโจทก์ดำเนินการแก้ไขจนแล้วเสร็จ นอกจากนั้นจำเลยยังได้ว่าจ้างให้โจทก์ทำงานเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบแปลน คือ งานถังเก็บน้ำใต้ดิน 120,872 บาท งานเพิ่มเติมถังแซ็ก 89,931.36 บาท งานแก้ไขกระจก 30,000 บาทในส่วนของฝ้า เพดาน ผนังบัว ห้องครัว ไฟฟ้าและประปา ได้มีการเพิ่มงานและลดงานบางอย่างลงจากที่เคยตกลงไว้ เมื่อหักกลบกันแล้วเหลือค่าจ้างในส่วนนี้ 283,716.18 บาทรวมเป็นเงินค่าจ้างงานเพิ่มเติมทั้งสิ้น 524,519.36 บาท (ที่ถูก 524,519.54 บาท) โจทก์ก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จและส่งมอบให้จำเลยพร้อมทั้งขอเบิกเงินค่าจ้างทั้งหมด2,624,519.36 บาท จำเลยตรวจรับมอบงานโดยมิได้โต้แย้ง และชำระเงินให้โจทก์เพียง1,050,000 บาท คงค้างชำระ 1,574,519.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันส่งมอบงานเป็นต้นไป ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,800,864.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,574,517.36 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารโครงการ พี.บี.4แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยทำงานล่าช้าและโจทก์ได้โอนสิทธิการรับเงินค่าจ้าง10,500,000 บาท ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด โดยจำเลยให้ความยินยอมแล้ว และได้ชำระค่าจ้างให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัดตลอดมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ต้องส่งมอบงานให้จำเลยตามที่กำหนดในสัญญาคือวันที่ 30 มิถุนายน 2535 แต่โจทก์ส่งมอบงานทั้งหมดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2537ล่าช้ากว่ากำหนดตามสัญญา 736 วัน จึงต้องถูกปรับรายวัน วันละ 10,500 บาท คิดเป็นเงินค่าปรับ 7,728,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 7,728,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่โจทก์ส่งมอบอาคารให้จำเลยหลังสัญญาสิ้นสุดเกิดจากความผิดของจำเลย อีกทั้งโจทก์และจำเลยต่างไม่ถือเอาเงื่อนเวลาเป็นสาระสำคัญของสัญญา เนื่องจากเมื่อโจทก์ก่อสร้างงานงวดที่ 2 จำเลยได้ขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบการก่อสร้างและเพิ่มเติมงานเป็นเหตุให้การทำงานของโจทก์ชะงักและจำเลยก็ไม่ได้ทักท้วงว่าโจทก์ทำงานล่าช้า เมื่อโจทก์ส่งมอบงานจำเลยได้รับมอบงานและอนุมัติจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เรื่อยมาจนถึงงวดที่ 9 โดยไม่เคยบอกกล่าวของสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 524,519.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า เงินค่าจ้างงานเพิ่มเติม524,519.36 บาท โจทก์ได้โอนสิทธิการรับเงินดังกล่าวไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด แล้วตามเอกสารหมาย ล.1 และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟแนนซ์ จำกัด ไม่ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกการโอนสิทธิเรียกร้องการชำระเงินไปยังจำเลยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าจ้างงานเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น นายบัณฑิต ตรีรานุรัตน์ พยานโจทก์ซึ่งทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ในขณะมีกรณีพิพาทในคดีนี้เบิกความว่าเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2535 นายสรจิตร คูสกุล กรรมการของบริษัทโจทก์ได้มาขอสินเชื่อโดยเสนอขายลดเช็คในวงเงิน 750,000 บาท กับพยาน และได้เสนอโครงการของจำเลยซึ่งมีวงเงินค่าก่อสร้าง 10,500,000 บาท เพื่อเป็นหลักประกันในการขายลดเช็คพยานตกลงให้โจทก์ทำสัญญาขายลดเช็คตามเอกสารหมาย จ.4 ในสัญญาระบุว่าให้นำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารมาเป็นหลักประกันซึ่งตามสัญญาดังกล่าวได้กำหนดการจ่ายเงินค่าจ้างไว้ 10 งวด งวดละ 1,050,000 บาท ในการขายลดเช็คแต่ละครั้งโจทก์ต้องสั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าเป็นเวลา 45 วัน โดยสั่งจ่ายเงินฉบับละ 750,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวครอบคลุมถึงเงินค่าจ้างที่จะได้รับมอบแต่ละงวด เช็คที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด รับจากโจทก์จะไม่มีการนำไปเรียกเก็บเงินตามเช็คบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด มอบอำนาจให้พยานเป็นผู้ไปรับเงินค่าจ้างจากจำเลยโดยโจทก์จะมีหนังสือถึงจำเลยเพื่อเรียกร้องเงินดังกล่าวก่อน หลังจากนั้นโจทก์แจ้งให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ไปรับเงินจากจำเลย เงินที่รับมาเมื่อหักชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด แล้วเงินที่เหลือก็คืนให้โจทก์ โจทก์ได้ขายลดเช็คให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัดรวม 9 งวด พยานเป็นผู้ไปรับเงินงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 9 โจทก์เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 9 ให้แก่จำเลย ในส่วนเงินค่าจ้างงานเพิ่มเติม บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องด้วยเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเอกสารที่โจทก์และจำเลยส่งศาลก็ปรากฏว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่พยานเบิกความคือในเรื่องการเบิกเงินจากจำเลยทุกงวดโจทก์จะมีหนังสือส่งมอบงานและขอเบิกเงินจากจำเลยแล้วบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด จึงมีหนังสือขอรับเงินจากจำเลย เช่น งวดที่ 1 โจทก์ส่งมอบงานและขอเบิกเงินเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2535ตามเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 และที่ 2 ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2535 บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด จึงมีหนังสือมอบอำนาจให้นายบัณฑิตไปรับงินจากจำเลยตามเอกสารหมาย ล.2 วันที่ 30 มิถุนายน 2535 โจทก์ออกใบเสร็จรับเงินค่าจ้างงวดที่ 1 เป็นเงินจำนวน 1,050,000 บาท ให้แก่จำเลยตามเอกสารหมาย ล.11 และ จ.6สำหรับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด เมื่อรับเงินมาแล้วก็จะหักชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ตามสัญญาขายลดเช็ค เงินที่เหลือก็จะคืนให้แก่โจทก์ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.92 แผ่นที่ 1 การรับเงินค่าจ้างงวดที่ 2 ถึงงวดที่ 9 ก็ปฏิบัติในลักษณะเดียวกันเมื่อเจตนาของคู่กรณีที่ประพฤติปฏิบัติต่อกันมาเช่นนี้เห็นได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ตกลงกันให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด รับเงินจากจำเลยเพื่อนำมาชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ก่อน เงินส่วนที่เหลือจากการหักชำระหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ต้องคืนให้โจทก์ หรืออีกนัยหนึ่งเงินส่วนที่เหลือยังเป็นของโจทก์อยู่ ทั้งตามใบเสร็จรับเงินค่าจ้างที่จำเลยจ่ายไปทุกงวดโจทก์ก็เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าว แม้ตามหนังสือเอกสารหมาย ล.1 จะใช้ข้อความว่าโจทก์โอนสิทธิรับเงินค่าจ้างให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์จำกัด แต่ตามเจตนาของคู่กรณีดังที่กล่าวมาแล้วหาใช่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกันไม่โดยเป็นเพียงโจทก์มอบอำนาจให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด รับเงินแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อฟังว่าเอกสารหมาย ล.1 ไม่ใช่หนังสือที่โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างงานเพิ่มเติมให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ไฟน์แนนซ์ จำกัด ตามเอกสารหมาย ล.1 ด้วยหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างงานเพิ่มเติมให้แก่โจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องแย้ง ศาลฎีกาจึงสั่งให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ