โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2538 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสองได้ประกอบกิจการให้เช่าแลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจการค้าร้านแผงลอยนำเทปและวัสดุโทรทัศน์ชนิดต่าง ๆ ที่มิได้ผ่านการตรวจและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายออกมาให้ประชาชนเช่า แลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือเสนอให้เช่าแลกเปลี่ยน และจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนกลาง และจำเลยทั้งสองได้มีแถบบันทึกภาพและเสียง (วีดีโอเทป) อันลามกจำนวน 450 ม้วน ซึ่งภายในแถบบันทึกภาพและเสียงดังกล่าวมีภาพชายหญิงเปลือยกายเห็นอวัยวะเพศและหัวนม และแสดงการร่วมเพศอันลามก ทั้งนี้เพื่อประสงค์แห่งการค้า เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกและเพื่อแสดงอวดแก่ประชาชนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเหตุเกิดที่แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานครขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287,91, 33, 32 และสั่งริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287, 91,33, 32 เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานประกอบกิจการเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน ฐานมีแถบบันทึกเสียงและภาพลามก ลงโทษจำคุกคนละ 4 เดือน รวมจำคุกคนละ6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงลงโทษจำคุกคนละ 3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่อาจจะรู้ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 16 ปีเศษ เพราะจำเลยที่ 1 แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าเกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2518 มีอายุ 19 ปีทั้งในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ก็แจ้งต่อศาลว่ามีอายุ 19 ปี กรณีความบกพร่องเรื่องอายุของจำเลยที่ 1ผิดไปเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เอง ซึ่งเมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ต้องโอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางย่อมไม่ชอบนั้นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่ปรากฏในภายหลังว่าข้อเท็จจริงในเรื่องอายุหรือการบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสของบุคคลที่เกี่ยวข้องจะผิดไปหรือศาลอื่นใดได้รับพิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ต้องด้วยมาตรา 13 ซึ่งถ้าปรากฏเสียแต่ต้นจะเป็นเหตุให้ศาลนั้น ๆ ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาก็ตาม ข้อบกพร่องดังกล่าวไม่ทำให้การพิจารณาพิพากษาของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาและศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวเสียไป"และวรรคสองบัญญัติว่า "ถ้าข้อเท็จจริงตามวรรคหนึ่งปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณา ไม่ว่าในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาให้ศาลนั้น ๆ โอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป"เห็นว่า ตามสำเนาบันทึกคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา ฯลฯเอกสารท้ายฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2518 มีอายุ 19 ปี และเมื่อโจทก์นำตัวจำเลยที่ 1 มาฟ้องต่อศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ก็แจ้งต่อศาลว่ามีอายุ 19 ปี เช่นนี้ ทั้งโจทก์และศาลชั้นต้นก็ต้องเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปี ดังนั้นจึงไม่ทำให้การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นเสียไป และเมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 16 ปีเศษปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องโอนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาและพิพากษา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์โอนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์และแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาพิพากษาต่อไปตามรูปคดี