โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นเจ้าของที่นาเนื้อที่ ๔๕ ไร่เศษ  จำเลยสมคบกันเข้าไถที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๓๘ ตารางวา  ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า  จำเลยที่ ๑  สั่งให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เข้าไถที่พิพาทซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๒  ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่นาโจทก์  พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ที่ดินที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑  พิพาทกันเมื่อปี ๒๕๐๔ นั้น  มีเนื้อที่เพียง ๒ ไร่  หาได้พิพาทกันรวมทั้งแปลงตามเนื้อที่พิพาทกันในคดีนี้ไม่  เฉพาะที่ดิน ๒ ไร่นั้น  กรมการอำเภอสั่งให้โจทก์มาฟ้อง   โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกินเวลา ๑ ปี  นับแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยที่ ๑  แย่งการครอบครอง  เมื่อไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น
ส่วนข้อเท็จจริงนั้น  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ยึดถือครอบครองที่พิพาทตลอดมา
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า  ที่พิพาทด้านตะวันออกที่คู่ความพิพาทกันเมื่อปี ๒๕๐๔  เฉพาะเนื้อที่ ๒ ไร่  โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๑ ปี  โจทก์จึงสิ้นสิทธิฟ้องร้องในที่ดิน ๒ ไร่ส่วนนี้แล้ว  ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่ดินส่วนนี้เสีย  ที่พิพาทนอกเหนือจากที่กล่าวนี้เป็นของโจทก์  ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง