โจทก์ฟ้องว่า  ศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินและคืนที่นาบางส่วนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกนางสาวใครในคดีนั้น  จำเลยที่ ๑ ทราบคำพิพากษาแล้วและจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ก็ทราบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา  ได้ทำการทุจริต  โดยจำเลยที่ ๑  ได้โอนขายที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ ๒  โดยจำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าพนักงานทำการโอนให้ ณ หอทะเบียนที่ดินโดยเจตนามิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้  ขอให้ลงโทษซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วคงรับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๕๐, ๘๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐  ให้จำคุก ๖ เดือน  และปรับ ๒๐๐ บาท แต่ให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด ๑ ปี  ส่วนจำเลยที่ ๒ และ ๓ นั้น  พยานโจทก์ไม่พอฟังให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  จำเลยที่ ๑ กระทำผิดดังฟ้อง  แต่จำเลยที่ ๒ เป็นคนนอกคดี  คำพิพากษาในคดีแพ่งไม่ผูกพันถึง  เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ตามมาตรา ๓๕๐  ที่จะมีผลถึงคนนอกคดีก็จำต้องดำเนินการในชั้นบังคับคดี  เพื่อจะยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก่อน จำเลยที่ ๒ ได้รับโอนทรัพย์ไว้จากจำเลยที่ ๑ ก่อนคำบังคับคดีของศาลไปถึงจำเลยที่ ๑  โดยรับโอนไว้ตามมูลหนี้ที่มีอยู่กับจำเลยที่ ๑ ก่อน  ในราคาพอสมควรโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่า   จำเลยที่ ๒  ได้ทราบคำสั่งตามคำบังคับให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑  จะถือว่าจำเลยที่ ๒ ทำการทุจริตต่อโจทก์ด้วยไม่ได้  ส่วนจำเลยที่ ๓ โจทก์มิได้ขออายัดที่ดินให้ถูกต้องตามระเบียบ  การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ ในการจดทะเบียนจึงไม่เป็นเหตุที่โจทก์จะอ้างว่าได้ทำความเสียหายให้แก่โจทก์  จำเลยที่ ๒, ๓ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าคนภายนอกคดีจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๕๐ ได้  จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อน  ถ้าคนภายนอกร่วมกระทำกับลูกหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๕๐  ก็เป็นตัวการมีความผิดตามมาตรานี้ได้  แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย  แม้ข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลให้ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์อาศัยยกฟ้องโจทก์นี้เปลี่ยนแปลงไป  และข้อเท็จจริงนี้เป็นอันยุติเมื่อข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๙  โจทก์ก็จะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้  ส่วนจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย  และระเบียบแบบแผนแล้ว  จึงไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน  ยกฎีกาโจทก์