โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 296,060,366.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันละเมิดคือวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 ไปจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ ขอให้สงวนไว้ซึ่งสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับความเสียหายที่ต้องใช้เวลาแสดงอาการในอนาคต ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 40 นอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้รับ และขอให้กำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจำเลยทั้งสี่ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 เพิ่มขึ้นสองเท่าของจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริง
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 2,684,978.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิดวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้น โดยให้นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ กำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 30,000 บาท และค่าทนายความเป็นเงิน 40,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินรวม 4,220,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,120,000 บาท ให้สงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษา เฉพาะค่าเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังโจทก์ตั้งครรภ์และมีความเสี่ยงกับภาวะมดลูกแตกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ก็ให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่เกิน 200,000 บาท ภายในเวลา 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นในศาลชั้นต้น โดยให้นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาล ก. จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นแพทย์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยพยาบาล ระหว่างเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ปฏิบัติงานอยู่ที่โรงพยาบาล ก. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 โจทก์ได้รับการวินิจฉัยจากจำเลยที่ 1 ว่ามีติ่งเนื้อในท่อนำไข่ด้านซ้าย และวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 โจทก์เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ก. โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ผ่าตัด หลังการผ่าตัดโจทก์ท้องเสีย ปวดท้อง เจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา เจ็บขณะหายใจ จำเลยที่ 1 สั่งให้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด และอนุญาตให้โจทก์กลับบ้าน ขณะพักอยู่ที่บ้านโจทก์มีอาการปวดท้องต้องกลับมาโรงพยาบาล ก. อีกครั้ง ขณะนั้นจำเลยที่ 2 ผู้ตรวจร่างกายโจทก์ได้ตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องและวินิจฉัยว่าอาการปวดท้องเกิดจากน้ำที่จำเลยที่ 1 ใส่เข้าไปในโพรงมดลูกขณะทำการผ่าตัดทำให้น้ำไหลไปตามท่อนำไข่และออกไปสู่ช่องท้องแนะนำให้โจทก์นอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ วันรุ่งขึ้นโจทก์ได้รับการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อตรวจดูช่องท้องอย่างละเอียด ผลปรากฏว่ามีเลือดอยู่ในช่องท้องและเลือดไปกดทับอวัยวะภายในซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดท้อง จำเลยที่ 1 รักษาโดยให้ยาห้ามเลือด ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อและติดตามดูอาการ ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 จำเลยที่ 1 อนุญาตให้โจทก์กลับบ้าน และนัดมาดูอาการอีกครั้งในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 โจทก์ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ศ. แพทย์ตรวจพบว่ามดลูกทะลุ โจทก์เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขที่โรงพยาบาล ศ. จำเลยที่ 1 ผ่าตัดติ่งเนื้อในท่อนำไข่ด้านซ้ายเป็นผลให้มดลูกมีบาดแผลทะลุและเอ็นยึดรังไข่กับมดลูกมีบาดแผลฉีกขาด เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 โจทก์ตั้งครรภ์แต่แท้งบุตรในเวลาต่อมา และโจทก์ขอข้อมูลการตรวจรักษาและเวชระเบียนจากจำเลยที่ 4 แต่จำเลยที่ 1 และผู้บริหารของจำเลยที่ 4 นำเรื่องการขอข้อมูลและเวชระเบียนดังกล่าวเข้าหารือกับพนักงานฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 อันเป็นการเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของโจทก์ ตามเวชระเบียนและคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ขณะแพทย์ผ่าตัดมดลูกโดยการส่องกล้องแล้วจำเลยที่ 4 ส่งข้อมูลที่โจทก์ร้องขอดังกล่าวไม่ครบถ้วน สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลร่วมรับผิดด้วย โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงข้อเดียวว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 นำข้อมูลทางการแพทย์ของโจทก์ไปหารือกับผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 ในการประชุมข้อร้องเรียนของโจทก์เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 อันจำเลยที่ 1 และที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 บัญญัติว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผยแต่ไม่ว่ากรณีใด ๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้กฎหมายบัญญัติยืนยันสถานะข้อมูลด้านสุขภาพเป็นความลับส่วนบุคคล ซึ่งผู้ที่รู้ข้อมูลหรือปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าวต้องให้ความสำคัญต่อการรักษาข้อมูลดังกล่าวให้เป็นความลับ และห้ามเปิดเผย เว้นแต่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการตรวจรักษาตามความประสงค์ของโจทก์ หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย ทั้งยังไม่ให้อ้างบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอข้อมูลก็ตาม แต่เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจรักษาโจทก์ที่บันทึกและล่วงรู้ข้อมูลด้านสุขภาพของโจทก์ และจำเลยที่ 4 ผู้มีหน้าที่เก็บรักษาสิ่งที่บันทึกข้อมูลด้านสุขภาพของโจทก์ ได้นำข้อมูลด้านสุขภาพคือเวชระเบียนและคลิปวิดีโอการผ่าตัดเข้าหารือกับพนักงานฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 โดยเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในการประชุม ซึ่งได้ความว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 จะนำข้อมูลเวชระเบียนและคลิปวิดีโอการผ่าตัดเข้าหารือกับฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 นั้น โจทก์ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ศ. อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ได้เข้ารักษาตัวกับจำเลยที่ 1 แล้ว และการมาขอข้อมูลดังกล่าวของโจทก์จากจำเลยที่ 4 นั้นได้มีการเรียกร้องค่าเสียหายเข้ามาด้วย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยกัน อันเป็นการแสดงว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้นำข้อมูลเวชระเบียนและคลิปวิดีโอการผ่าตัดมาเปิดเผยกับพนักงานฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบุคลากรภายในอันเกิดจากโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และที่ 4 แล้ว จึงเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์ให้แก่ฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบุคลากรภายในที่เกี่ยวข้องเพื่อจะให้ฝ่ายกฎหมายทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและกลั่นกรองงานภายในโรงพยาบาลของจำเลยที่ 4 ตามปกติหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นแม้โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ก็ตาม ซึ่งการจะนำข้อมูลดังกล่าวไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียหายนั้น ต้องเป็นการนำไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องใด ๆ เมื่อการให้การรักษาผู้ป่วยของแพทย์และโรงพยาบาลในปัจจุบันมีการขยายขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบและกระบวนการแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพในการรักษาและให้บริการผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นย่อมมีความจำเป็นต้องอาศัยการปรึกษาหารือกับบุคลากรที่มีความเข้าใจและสามารถหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 เป็นบุคลากรภายในที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก และเป็นการเปิดเผยเพื่อให้พนักงานฝ่ายกฎหมายทราบข้อเท็จจริงตามปกติเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นแล้ว กรณีนี้จึงไม่ใช่เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามความหมายของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 จึงไม่เป็นการกระทำโดยละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว ให้ยกเลิกความในมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และบัญญัติให้ใช้ความใหม่ว่า ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทบัญญัติกฎหมายโดยชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี...และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 224 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่ว่าหนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี...และพระราชกำหนดดังกล่าว มาตรา 7 บัญญัติให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 ทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นหนี้เงินโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ แต่ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เดิม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 4,220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,120,000 บาท นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ