โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 7, 18, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 343 กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินหรือร่วมกันใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบสามตามจำนวนที่ผู้เสียหายแต่ละคนถูกจำเลยทั้งสี่หลอกลวงไปดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 11 ที่ 13 ถึงที่ 21 ที่ 24 และที่ 25 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 โดยเรียกว่าโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 22 ตามลำดับ ส่วนข้อหาอื่นโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบสองไม่เป็นผู้เสียหายจึงไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 18, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่มีประวัติการกระทำความผิดหรือเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี โดยออกข้อกำหนดห้ามจำเลยทั้งสี่ประกอบธุรกิจหรือกิจกรรมในลักษณะนี้อีกต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้ไม่เกิน 1 ปี ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบสองและจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันทำการรับประกันภัยโดยทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลใด ๆ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบสองที่จะฟ้องจำเลยทั้งสี่ในส่วนคดีแพ่งใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานร่วมกันทำการรับประกันภัยโดยทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลใด ๆ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองและที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า เมื่อปี 2550 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับพวกร่วมกันก่อตั้งชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญ ระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 2 เป็นรองประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการและเหรัญญิก โดยมีข้อบังคับชมรม ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 11 สมัครเป็นสมาชิกชมรมกับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 6 และที่ 20 สมัครเป็นสมาชิกชมรมกับจำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 3 ที่ 4 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 12 และที่ 19 สมัครเป็นสมาชิกชมรมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โจทก์ร่วมที่ 5 สมัครเป็นสมาชิกชมรมกับจำเลยที่ 3 และโจทก์ร่วมที่ 18 สมัครเป็นสมาชิกชมรมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์ร่วมแต่ละคนชำระค่าสมาชิกรายปีตลอดมา กับได้รับสมุดคู่มือสมาชิกบันทึกรายการรับเงิน ต่อมาปี 2556 ชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญออกข้อบังคับสำหรับสมาชิกใหม่โดยเรียกเก็บเงินค่าสมาชิกหรือสมาชิกที่เข้าสวมสิทธิแทนสมาชิกเดิมที่ถึงแก่ความตายต้องชำระเงินสงเคราะห์ล่วงหน้า 2,000 บาท ค่าสมัครคนละ 100 บาท ค่าบำรุงปีละ 50 บาท รวมเป็นเงิน 2,150 บาท จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญมีมติยุติการดำเนินงาน
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำมาสืบรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันประกอบธุรกิจประกันชีวิตโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การดำเนินการชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญในการสงเคราะห์สมาชิกหรือครอบครัวของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายนั้น สมาชิกจะต้องจ่ายค่าสมาชิกแก่ชมรมรายปีทุกปี เมื่อสมาชิกถึงแก่ความตาย ชมรมจะนำเงินค่าสมาชิกมาหมุนเวียนจ่ายเป็นเงินสงเคราะห์ตามจำนวนที่กำหนดไว้โดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะของสมาชิกนั้นเองเป็นเหตุในอนาคตที่จะใช้เงินนั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามที่สมาชิกนั้นกำหนดไว้ มิใช่เป็นการจ่ายเพื่อการสงเคราะห์สมาชิกหรือครอบครัวของสมาชิกซึ่งถึงแก่ความตายด้วยกันตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2545 แต่การดำเนินกิจกรรมชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญมีลักษณะเป็นการทำการเป็นผู้รับประกันภัย โดยกำหนดให้สมาชิกส่งใช้เงินค่าสมาชิกรายปีให้แก่ชมรมทำนองเดียวกันกับการส่งใช้เงินเบี้ยประกันภัย และการที่ชมรมอาศัยในเหตุที่สมาชิกนั้นถึงแก่ความตายในอนาคตใช้เงินจำนวนหนึ่งเรียกว่าเงินสงเคราะห์ให้แก่สมาชิกหรือผู้รับประโยชน์ทำนองเดียวกันกับผู้รับประกันภัยโดยจำเลยที่ 1 ได้ออกสมุดคู่มือสมาชิกชมรมลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะประธานชมรมไว้เป็นหลักฐานในการรับเป็นสมาชิกโดยให้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์และบันทึกรายการรับเงินค่าสมาชิกแต่ละปีให้แก่สมาชิกไว้เป็นหลักฐานทำนองเป็นหลักฐานสัญญาประกันภัยลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยที่ออกให้แก่สมาชิกซึ่งอยู่ในฐานะทำนองเดียวกันกับผู้เอาประกันภัย การดำเนินกิจกรรมของชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญเป็นอันรับฟังได้ว่าทำการเป็นผู้รับประกันภัยโดยทำสัญญาประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 มาตรา 862 และมาตรา 889 จำเลยทั้งสี่จะปฏิเสธว่าชมรมมิได้ประกอบกิจการประกันภัยและมิได้ทำธุรกิจประกันชีวิตหาได้ไม่ การดำเนินการของชมรมเอื้ออาทรเกษตรกรอำนาจเจริญที่ทำการเป็นผู้รับประกันชีวิตของสมาชิกหรือบุคคลใด ๆ ซึ่งมิได้จัดตั้งขึ้นในรูปบริษัทมหาชนจำกัด จึงไม่อาจที่จะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามพระราชบัญญัติการประกันชีวิต พ.ศ.2545 มาตรา 7 การที่จำเลยทั้งสี่ในฐานะเป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการและกรรมการ ที่ได้ร่วมกันดำเนินการกิจการชมรมในการทำการเป็นผู้รับประกันชีวิตโดยทำสัญญาประกันชีวิตกับบรรดาสมาชิกทั้งหลายด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำชักชวนหาสมาชิก จำเลยที่ 4 เป็นกรรมการและเหรัญญิกทำหน้าที่ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของสมาชิกและจำนวนเงินสงเคราะห์ที่จะจ่ายแก่สมาชิกซึ่งถือเป็นงานที่สำคัญในการประกอบธุรกิจประกันชีวิต การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการร่วมกันทำการเป็นผู้รับประกันภัยโดยทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลใด ๆ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 18 ซึ่งบัญญัติไว้เป็นความผิดตามมาตรา 91 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสี่มิได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 18, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 โทษและการรอการลงโทษรวมทั้งการบังคับค่าปรับให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3