ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9183 ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 1 งาน 22 ตารางวา โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 9183 มีชื่อนางสาวรำไพเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อปี 2529 ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านเลขที่ 50/1 ในที่ดินดังกล่าวบางส่วน เนื้อที่ 1 งาน 22 ตารางวา ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2546 นางสาวรำไพจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9183 ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านพักอาศัยในที่ดินพิพาทเนื่องจากนางสาวรำไพยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยทำหนังสือยกให้ไว้ ซึ่งมีข้อความระบุเป็นสาระสำคัญว่า นางสาวรำไพขอทำพินัยกรรมให้ไว้แก่ผู้ร้องว่า นางสาวรำไพอนุญาตให้ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านพักอาศัยเป็นตึกสองชั้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 9183 พื้นที่รวมทั้งตัวอาคารเป็นเนื้อที่ 1 งาน 22 ตารางวา โดยให้คำมั่นสัญญาว่าพินัยกรรมฉบับนี้ยกที่ดิน 1 งาน 22 ตารางวา ให้ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านโดยผู้ร้องออกเงินค่าปลูกสร้างเอง ทั้งนี้นางสาวรำไพและผู้ร้องตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในโฉนดที่ดินเลขที่ 9183 จะไม่ทำการซื้อขายเป็นอันขาด ท้ายหนังสือดังกล่าวนางสาวรำไพและผู้ร้องต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้ให้และผู้รับคำมั่นสัญญาตามลำดับ จากข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่า นางสาวรำไพแสดงเจตนาไว้เป็นคำมั่นสัญญาว่า เมื่อนางสาวรำไพถึงแก่ความตาย นางสาวรำไพยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง แต่ขณะเดียวกันนางสาวรำไพก็ได้แสดงเจตนาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันแก่ผู้ร้องในขณะที่นางสาวรำไพยังมีชีวิตอยู่ว่า อนุญาตให้ผู้ร้องมีสิทธิเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินของนางสาวรำไพได้ โดยมีข้อตกลงว่านางสาวรำไพจะไม่ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9183 ข้อตกลงดังกล่าวนี้รวมตลอดถึงการแสดงเจตนาล่วงหน้าของนางสาวรำไพที่ว่า จะยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องเมื่อตนถึงแก่ความตาย แสดงให้เห็นว่านางสาวรำไพต้องการให้ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทได้ด้วยความมั่นใจว่าจะไม่ถูกกระทบกระเทือนสิทธิ หรือได้รับความเดือดร้อน เมื่อนางสาวรำไพถึงแก่ความตายแล้วเท่านั้น แต่หาได้มีความหมายไปถึงว่านางสาวรำไพยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องตั้งแต่วันทำหนังสือยกให้ดังกล่าวไม่ หากนางสาวรำไพยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องในทันที ก็ไม่จำต้องระบุเกี่ยวกับการอนุญาตให้ปลูกสร้างบ้านและการยกที่ดินพิพาทให้โดยพินัยกรรมอันเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายแต่อย่างใด ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับคำมั่นสัญญาตามหนังสือยกให้ดังกล่าวย่อมทราบความข้อนี้ดี
ดังนั้น ขณะนางสาวรำไพมีชีวิตอยู่ ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของนางสาวรำไพ การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทย่อมเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของนางสาวรำไพเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องแสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงการยึดถือครอบครองต่อนางสาวรำไพว่าจะยึดถือเพื่อตน จึงถือว่าผู้ร้องครอบครองแทนนางสาวรำไพตลอดมา แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทมานานเพียงใด ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และเมื่อที่ดินยังคงเป็นของนางสาวรำไพ นางสาวรำไพย่อมมีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนได้ ส่วนการกระทำดังกล่าวจะเป็นการผิดข้อตกลงหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องหรือไม่ อย่างไร ผู้ร้องย่อมต้องว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องอีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องขอมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ