โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งให้ส่งคืนเงินภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาด เลขที่ กค 0712.01/5289 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2560 เพิกถอนหนังสือแจ้งให้ส่งคืนเงินภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาด เลขที่ กค 0712.01/5291 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2560 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยตามหนังสือ เลขที่ กค 0726/5835 ลงวันที่ 27 กันยายน 2561
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลย 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 โจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเป็นสาขาหนึ่งของโจทก์ ในระหว่างปี 2554 ถึง 2555 โจทก์ก่อสร้างอาคารและจัดซื้อครุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกิจการซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและนำภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารมาขอคืนภาษีในเดือนภาษีมีนาคม 2554 เป็นเงิน 189,471.03 บาท และเดือนภาษีมิถุนายน 2554 เป็นเงิน 7,081,159.06 บาท เจ้าพนักงานของจำเลยมีคำสั่งให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2556 โดยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของโจทก์เฉพาะในส่วนของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2557 โจทก์ส่งมอบทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณให้แก่สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยมีข้อตกลงว่า หากมีภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ส่งคืนเงินภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาดเป็นเงิน 189,471.03 บาท และ 7,081,159.06 บาท โจทก์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวของจำเลย จำเลยมีคำวินิจฉัยว่าคำสั่งตามหนังสือแจ้งให้ส่งคืนเงินภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาดนั้นชอบแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า หนังสือแจ้งให้ส่งคืนเงินภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาดและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5 บัญญัติว่า "ภาษีซื้อในกรณีดังต่อไปนี้ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3...(6) ภาษีซื้อตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี" ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีไว้ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ "ข้อ 2...(4) ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และต่อมาได้ขาย หรือให้เช่าหรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้กระทำภายในสามปีนับแต่เดือนภาษีที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์" การที่กิจการและทรัพย์สินบางส่วนซึ่งรวมถึงอาคารที่โจทก์ก่อสร้างขึ้นถูกโอนไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) สืบเนื่องมาจากพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2556 มาตรา 40 ที่บัญญัติให้รัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติให้มีการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของโจทก์เฉพาะในส่วนของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีที่มีอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 คณะรัฐมนตรีลงมติอนุมัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของโจทก์เฉพาะในส่วนของสำนักงานพื้นที่พิเศษเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นการโอนไปโดยผลของกฎหมาย การโอนโดยผลของกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ใช่การขายตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีซื้อมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง การกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2 (4) และไม่นำนิยามคำว่า "ขาย" ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1 (8) มาใช้ในกรณีนี้ ดังนั้น ภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารดังกล่าวจึงไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5 (6) คำสั่งตามหนังสือแจ้งให้โจทก์ส่งเงินคืนภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาดและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ต้องส่งคืนเงินภาษีอากรให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งให้ส่งคืนภาษีอากรที่สั่งคืนผิดพลาด เลขที่ กค 0712.01/5289 และเลขที่ กค 0712.01/5291 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยตามหนังสือ เลขที่ กค 0726/5835 ลงวันที่ 27 กันยายน 2561 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ