โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3494เดิมบิดาจำเลยได้เช่าเพื่อปลูกบ้าน และจำเลยได้เข้าไปอยู่อาศัยสิทธิการเช่าดังกล่าว ต่อมาสัญญาเช่าสิ้นสุดลง บิดาจำเลยได้รื้อบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยและบริวารได้ตบแต่งโรงครัวที่เหลือจากการรื้อถอนเป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ จึงเป็นการอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ได้บอกให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ยอมออกไปขอให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินพรัอมทั้งบริวารออกไปจากที่ดอนของโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังฟ้อง จำเลยไม่เคยอาศัยในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้ครอบครองที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 3494เนื้อที่ 28 ตารางวา ปรากฏตามสำเนาแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งหมาย 1 โดยการปลูกบ้านเลขที่ 99/17 ตั้งแต่ พ.ศ. 2507จนถึงบัดนี้ด้วยความสงบและเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของและโดยสุจริต โจทก์ก็ทราบดีไม่มีผู้ใดขัดขวางการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ดินที่จำเลยครอบครองหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 50 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และขอให้มีคำสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินบางส่วนของโฉนดดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยด้วยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิของบิดาจำเลย ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา นางสาววรรณดี พรมมณี ยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่โจทก์ฟ้องร่วมกันโจทก์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งต่อเติมโรงครัวของจำเลยไปให้พ้นจากที่ดินของโจทก์และโจทก์ร่วม ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์และโจทก์ร่วม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์ร่วมเดือนละ1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจึงถึงวันที่จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และโจทก์ร่วม ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์ร่วม และไม่ต้องรับผิดใช้ค่าขึ้นศาลในส่วนนี้แทนโจทก์และโจทก์ร่วมด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 28 ตารางวาเป็นส่วนหนึ่ของที่ดินโฉนดเลขที่ 3494 ตำบลวัดท่าพระอำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดดังกล่าว จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท
ปัญหาแรกจำเลยฎีกาว่า ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้เหลือเพียงประเด็นเดียวคือจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ แม้โจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยเป็นฝ่ายครอบบครองที่ดินพิพาท ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อนไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 บัญญัติว่า "ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดินท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง" ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่าผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดิน ย่อมสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น กรณีนี้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ เมื่อจำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลย จึงเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อนถูกต้องแล้ว...
ปัญหาต่อไปจำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.9เพื่อเป็นการหักล้าง เปลี่ยนแปลงถ้อยคำและทำลายน้ำหนักคำพยานของฝ่ายจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่โจทก์มิได้ถามค้านพยานฝ่ายจำเลยไว้ จึงรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาตัดสินคดีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรคสองนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.9 ว่านางแถมในฐานะตัวแทนของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ให้นายกมลและนางกอบกุลเช่าที่ดินพิพาทการนำสืบของโจทก์เกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่เพื่อหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานจำเลยที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็นและไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำหรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานเช่นนั้นได้กระทำขึ้น ฉะนั้น แม้ว่าโจทก์จะมิได้ถามค้านพยานฝ่ายจำเลยเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวไว้ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับฟังพยานเช่นว่ามานั้นดังเช่นที่จำเลยฎีก...
พิพากษายืน.