คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกันมา โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนว่าจำเลยต่างเช่าตึกแถวจากบริษัท เอ็น วีฯ ต่อมาบริษัทดังกล่าวขายที่ดินพร้อมตึกที่ให้เช่าให้โจทก์ สัญญาเช่าที่จำเลยทำไว้สิ้นสุดลง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ฯลฯ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การสู้คดีและฟ้องแย้ง และโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง
ก่อนวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งให้หมายเรียกบริษัทเอ็น วีฯและนายอูมาร์ ฮาซาน นาโกรี เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามคำขอของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้ง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ในระหว่างอุทธรณ์ นายฮิงเต็กจำเลยตาย ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเบื้องต้นในเรื่องคู่ความแทนที่นายฮิงเต็กจำเลย ศาลชั้นต้นนัดคู่ความและนางมุ่ยอ่าย แซ่โค้ว ภริยานายฮิงเต็กจำเลยพร้อมกัน นางมุ้ยอ่ายรับเป็นผู้รับมรดกความแทนที่นายฮิงเต็กซึ่งเป็นสามี โดยทั้งสองฝ่ายไม่คัดค้านศาลชั้นต้นจึงสั่งให้นางมุ้ยอ่ายเข้ารับมรดกความแทนที่นายฮิงเต็กจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทที่เช่าตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า เดิมที่ดินที่ปลูกตึกพิพาทเป็นของเพื่อนแขกของโจทก์ร่วม แล้วได้ยกให้โจทก์ร่วมนั้นปรากฏการยกให้ตามเอกสารหมาย จ.๘ สัญญาให้กรรมสิทธิ์ที่ดินทำที่หอทะเบียนที่ดินจังหวัดพระนครเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ มีชื่อนายอิบราฮิมหะยีบูร์ณโมหะเม็ดเป็นผู้ยกให้ และมีชื่อบริษัทโจทก์ร่วมเป็นผู้รับให้ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และบริษัทโจทก์ร่วมตามเอกสารหมายจ.๑๑ คงลงชื่อบริษัทโจทก์ร่วมเป็นผู้ขาย ปรากฏว่าบริษัทโจทก์ร่วมเป็นบริษัทจำกัด ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อบกพร่องในการที่เจ้าหน้าที่กรอกชื่อบริษัทโจทก์ร่วมไว้ในทะเบียนการให้และสัญญาซื้อขาย ขาดคำว่า จำกัดท้ายชื่อไป ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำขึ้นโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทไว้โดยชอบ จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางมุ้ยอ่ายภริยาของนายฮิงเต็กจำเลยซึ่งครอบครองตึกพิพาทร่วมกับนายฮิงเต็กจำเลย และครอบครองอยู่ต่อมากับบุตรในฐานะทายาทโดยธรรม แถลงต่อศาลชั้นต้นยอมรับเป็นผู้รับมรดกความแทนนายฮิงเต็กจำเลย และได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งในการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้นางมุ้ยอ่ายเข้ารับมรดกความแทนนายฮิงเต็กจำเลยแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้สั่งอย่างใดถือได้ว่าอนุญาตให้เป็นไปตามที่นางมุ้ยอ่ายยอมรับ จึงไม่ชอบที่นางมุ้ยอ่ายหรือจำเลยจะรื้อฟื้นขึ้นอ้างว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ขึ้นอีกศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ทนายโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๑๔ จ.๑๕ ส่งทางไปรษณีย์จ่าหน้าซองถึงที่อยู่ของจำเลยที่ตึกพิพาทเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่งถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่มีผู้รับแสดงว่าจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกการเช่าจึงไม่ยอมรับ ถือได้ว่าคำบอกกล่าวเลิกการเช่าของโจทก์มีผลนับแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำไปส่งถึงสถานที่อยู่ของจำเลย และจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวเลิกการเช่าของโจทก์แล้วโดยชอบ สัญญาเช่าได้ระงับเลิกไปแล้ว จำเลยจึงต้องออกจากตึกพิพาทของโจทก์
พิพากษายืน