โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันเป็นตัวการใช้ปืนยิงนายจงอุดมผลโดยเจตนาฆ่า แต่ไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญนายจงจึงไม่ถึงแก่ความตาย และต่อมาจำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันเป็นตัวการใช้ปืนยิงนายจงอีกในขณะที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโดยจำเลยทั้งสองเจตนาฆ่าด้วยความพยาบาทและไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยกระทำทารุณโหดร้าย แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะแพทย์ทำการรักษาไว้ได้ทันท่วงที นายจงจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เพียงคนเดียวได้ยิงผู้เสียหายที่ที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่ได้ยิงผู้เสียหายที่โรงพยาบาล การที่จำเลยที่ ๑ยิงผู้เสียหายนั้น เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยิงผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสที่ที่เกิดเหตุแห่งแรก โดยไม่ใช่เป็นการป้องกันตัวจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ก่อหรือยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ ๑ ยิงผู้เสียหายจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ส่วนเหตุที่เกิดที่โรงพยาบาลนั้น ฟังว่า จำเลยที่ ๑ผู้เดียวได้ใช้ปืนจ่อยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน สำหรับจำเลยที่ ๒ ไม่ปรากฏว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ในตอนหลังนี้ด้วยพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙,๘๐, ๘๓ จำเลยที่ ๒ ผิดตามมาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐, ๘๓
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ ยิงผู้เสียหายที่ที่เกิดเหตุครั้งแรกเท่านั้น โดยไม่ใช่เป็นการป้องกันตัว และไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ใช้หรือยุยงส่งเสริมหรือร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนแรกรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ยิงผู้เสียหายจริง ส่วนเรื่องป้องกันตัวนั้นเห็นว่า คดีน่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ มีความโกรธผู้เสียหายที่ได้รังแกจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยที่ ๑การที่จำเลยที่ ๑ ไปหาผู้เสียหายถึงที่บ้านพร้อมด้วยอาวุธปืน ท้าทายจะยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายเดินลงจากเรือนถือเสียมมาหาจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ก็ใช้ปืนยิงผู้เสียหายนั้น จึงเป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยที่ ๑จะมาอ้างว่าการกระทำของจำเลยต่อไปนั้นเป็นการป้องกันตัวอีกหาได้ไม่
สำหรับจำเลยที่ ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องมาว่าจำเลยที่ ๒ ได้บังอาจร่วมด้วยกันกับจำเลยที่ ๑ เป็นตัวการใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า และโจทก์อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓เป็นบทประกอบการลงโทษ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยที่ ๒ได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดโดยยุยงส่งเสริมจำเลยที่ ๑ ให้ยิงผู้เสียหายแต่ประการใดเลย ทั้งมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔มาในฟ้องด้วย ฉะนั้นโจทก์จะขอให้ศาลลงโทษจำเลยที่ ๒ ในข้อหาว่าเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ ๑ ยิงผู้เสียหายจากข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ ๒ ได้พูดกับจำเลยที่ ๑ ว่า "เดื่อ มึงยืนอยู่ทำไมล่ะจงมันร้ายนักทำไมมึงไม่ยิง" ย่อมจะไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ ๒ จึงหาใช่ข้อเท็จจริงที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ไม่คดีไม่อาจจะลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ประกอบด้วยมาตรา ๘๔ ได้ และคดีจะฟังลงโทษจำเลยที่ ๒ ว่าได้ร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดด้วยในฐานะเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓ ก็ไม่ได้
พิพากษายืน