โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ.2522 มาตรา 4,
5, 64 ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 33, 58, 83, 92
ริบรถกระบะและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2316/2559,
3748/2559,
577/2560 และ
2273/2560 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1
รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ และจำเลยที่ 2
รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำคุกคนละ 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92 เป็นจำคุก 8 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละหนึ่งในสาม
คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน 40 วัน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน
ให้บวกโทษจำคุก 3 เดือน, 3
เดือน, 6
เดือน และ 3 เดือน ของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่
2316/2559,
3748/2559,
577/2560 และ 2273/2560 ของศาลชั้นต้นตามลำดับเข้ากับโทษในคดีนี้
เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 19 เดือน ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง แต่ไม่ริบรถกระบะของกลาง
โดยให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุ
นายนิดและนางสาวรินเป็นคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชามีสำเนาหนังสือรับรองการทำงานกับนายจ้างเป็นหลักฐาน
โดยนายนิดและนางสาวรินนั่งรถกระบะของกลางที่มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ และจำเลยที่ 2
นั่งข้างคนขับ
จากจังหวัดสมุทรสงครามไปจังหวัดจันทบุรี แล้วจำเลยทั้งสองกับนายนิดและนางสาวรินถูกเจ้าพนักงานตำรวจประจำสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรีจับกุมที่บริเวณถนนสายอำเภอมะขาม
- เขาคิชฌกูฏ บ้านท่าระม้า ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า
จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ
ให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
2 หรือไม่ เห็นว่า ขณะถูกจับกุม นายนิดและนางสาวรินไม่มีหนังสือเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลักฐานเหมือนเช่นนายโสพาด
และนางสาวจันนี โดยมีเพียงสำเนาหนังสือรับรองการทำงานกับนายจ้างมาแสดงเท่านั้น
ซึ่งนายอนุพงค์ นักวิชาการแรงงานชำนาญการสำนักงานจัดหางานจังหวัดจันทบุรี
ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า หนังสือรับรองการทำงานกับนายจ้างดังกล่าวออกโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรสงครามเพื่อรับรองว่า
นายนิดและนางสาวรินทำงานรับจ้างกับนายธำรงค์ นายจ้างที่จังหวัดสมุทรสงคราม
ซึ่งแม้ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการอนุญาตทำงานและการอนุญาตให้ทำงานตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ.2560 จะมิได้กล่าวถึงกรณีที่คนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำงานในราชอาณาจักรสามารถเดินทางออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาตทำงานได้หรือไม่
แต่ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2561 ข้อ 4 กำหนดว่า
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวตามประกาศนี้เป็นอันสิ้นผลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (3)
ออกนอกเขตท้องที่กรุงเทพมหานครหรือจังหวัดที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติหรือจังหวัดที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ดังนี้
เมื่อนายนิดและนางสาวรินได้รับการผ่อนผันให้ทำงานกับนายจ้างที่จังหวัดสมุทรสงครามเท่านั้น
นายนิดและนางสาวรินจึงไม่สามารถเดินทางออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจอีก
ทั้งนายนิดและนางสาวรินได้แจ้งความประสงค์ไว้ในสำเนาหนังสือรับรองการทำงานกับนายจ้างว่าจะเข้ารับการตรวจสัญชาติในกรุงเทพมหานคร
แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความตามถ้อยคำของนายนิดและนางสาวรินว่านายนิดและนางสาวรินว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ขับรถจากจังหวัดสมุทรสงครามไปส่งที่ชายแดนไทย
- กัมพูชา อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เพื่อกลับไปเยี่ยมญาติที่ประเทศกัมพูชาแต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน
ซึ่งการที่นายนิดและนางสาวรินเดินทางออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ และไม่ได้ไปรับการตรวจสัญชาติในกรุงเทพมหานคร
แต่ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ขับรถไปส่งที่ชายแดนไทย - กัมพูชาอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 4 (3)
จึงมีผลให้การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวสิ้นผลไป
ปัญหาต่อไปว่า
จำเลยทั้งสองขับรถกระบะของกลางนำพานายนิดและนายสาวรินจากจังหวัดสมุทรสงครามไปส่งที่ชายแดนไทย
- กัมพูชา อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยรู้หรือไม่ว่านายนิดและนางสาวรินเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย นั้น
เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกหฤษฏ์และร้อยตำรวจเอกวรรณชัยพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันว่าก่อนที่จำเลยทั้งสองจะถูกจับกุม
รถยนต์ที่ร้อยตำรวจเอกหฤษฏ์ใช้ขับไล่ติดตามรถกระบะของจำเลยทั้งสองเป็นรถยนต์ทะเบียนตราโล่
67750 มีสัญลักษณ์ตำรวจที่ประตูหน้ารถทั้งสองข้างและท้ายรถมีข้อความว่า ต.ม.
จังหวัดจันทบุรี กับมีไซเรนและเครื่องขยายเสียงติดรถดังกล่าว โดยเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถกระบะของกลางผ่านจุดที่ดักรออยู่ ร้อยตำรวจเอกหฤษฏ์ได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้จำเลยทั้งสองหยุดรถเพื่อขอตรวจค้น
แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมหยุดรถให้ตรวจและเร่งเครื่องยนต์ขับหลบหนีเป็นระยะทางกว่า
10 กิโลเมตร จนดาบตำรวจจำรัสต้องใช้อาวุธปืนยิงยางล้อหน้าและล้อหลังเพื่อสกัดให้จำเลยที่ 1 หยุดรถอันเป็นการแสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่า
จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่านายนิดและนางสาวรินที่โดยสารมาในรถกระบะของจำเลยที่
1 เป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและรถยนต์ที่กำลังขับไล่ติดตามรถกระบะของจำเลยที่
1 นั้น เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมหยุดรถให้ตรวจค้นแต่โดยดีและขับรถหลบหนีเช่นนี้ก็เป็นเพราะกลัวถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีนั่นเอง หาใช่ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่านายนิดและนางสาวรินเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายดังที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ไม่
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาต่อสู้ว่า
นายนิดและนางสาวรินมีสำเนาประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) มาแสดงว่านายนิดและนางสาวรินเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยถูกต้องตามกฎหมาย นายนิดและนางสาวรินจึงสามารถเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้นั้น
เห็นว่า สำเนาบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู)
ระบุไว้ชัดว่า มีการออกบัตรในวันที่ 21 มีนาคม 2561
ซึ่งเป็นเวลาภายหลังการกระทำความผิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561
แสดงว่านายนิดและนางสาวรินไปทำบัตรสีชมพูหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้ว
มิใช่ว่านายนิดและนางสาวรินมีบัตรสีชมพูมาแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจตั้งแต่ขณะถูกจับกุม
พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยทั้งสองขับรถกระบะของกลางนำพานายนิดและนางสาวรินจากจังหวัดสมุทรสงครามไปส่งที่ชายแดนไทย - กัมพูชา
อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยรู้อยู่แล้วว่านายนิดและนางสาวรินเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ
เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม
ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้ออื่นไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน