โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ขายรถยนต์อีซูซุให้แก่โจทก์ ส่งมอบรถยนต์ไว้และได้รับเงินไปแล้วบางส่วน แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอน โจทก์มอบรถยนต์ดังกล่าวให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. เป็นผู้จำหน่าย ห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. ได้ให้ ค. เช่าซื้อไปต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา และจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์คือ จำเลยที่ 1ให้ ค. แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. ขายรถยนต์คันดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์คันดังกล่าวและมอบให้จำเลยทั้งสองรับไปโดยโจทก์มิได้ผิดสัญญา โจทก์พร้อมจะชำระเงินส่วนที่ค้างและห้างฯ ย. แจ้งให้จำเลยทั้งสองไปรับเงินที่ค้างและโอนทะเบียนแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยทั้งสอง ขอให้จำเลยคืนเงินจำนวน 66,500 บาท ที่โจทก์ชำระไปพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 59,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขายรถยนต์ตามฟ้องให้โจทก์ โจทก์เป็นผู้ขอนำรถไปตั้งจำหน่ายที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. แล้วไม่นำเงินที่จำหน่ายได้มาชำระ จำเลยที่ 1 มีสิทธิติดตามทวงถามเอารถยนต์คืน มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้มอบสิทธิครอบครองและอำนาจการจำหน่ายรถยนต์คันที่โจทก์ฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นในการจำหน่ายรถยนต์เลย ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์คันพิพาทกับโจทก์แต่ไม่เป็นการละเมิด พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 66,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท
โจทก์จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. 2523 จำเลยที่ 1 ขายรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์ในราคา 90,000 บาท ส่งมอบรถยนต์และรับเงินจากโจทก์แล้ว 66,500 บาทตกลงจะโอนทะเบียนรถยนต์เมื่อโจทก์ชำระราคาเรียบร้อยแล้ว โจทก์มอบรถยนต์ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. จำหน่าย ห้างฯ ย. ให้ ค. เช่าซื้อรถยนต์ไป ปลายเดือนสิงหาคม 2524 จำเลยที่ 1 พา ค. ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีสมหมาย เกตุสุวรรณพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์คันพิพาทไป แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้พา ค. ไปแจ้งความแต่การที่พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์คันพิพาทไปหาใช่เป็นผลโดยตรงจากการแจ้งความของ ค. ไม่ แต่เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ความว่าเป็นรถของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อทะเบียนจึงยึดรถยนต์และดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ไม่ได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นฎีกาให้