โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวก ร่วมกันพรากและพานางสาวนิตยา อายุ 17 ปีเศษซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเสียจากความปกครองของนางสนิท มารดา เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันกระทำอนาจารนางสาวนิตยาโดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้วผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวนิตยาโดยใช้กำลังประทุษร้ายและนางสาวนิตยาไม่สามารถขัดขืนได้อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 278, 284, 318, 91, 83
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
นางสาวนิตยา โดยนางสนิท มารดา ผู้แทนโดยชอบธรรมผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 318, 83 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 276, 83จำเลยที่ 1 และที่ 2 อายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 ฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 10 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 20 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 15 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้นัดหมายกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และนายจิ้ม นายเดี่ยว นายมนูญ เพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 ได้พาโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และนายจิ้ม นายเดี๋ยว กับนายมนูญ ข่มขืนกระทำชำเราตามที่ได้ตกลงนัดหมายกันไว้จริง จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้พรากโจทก์ร่วมซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยโจทก์ร่วมไม่เต็มใจไปด้วย และแม้จำเลยที่ 1 มิได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ได้พาโจทก์ร่วมไปยังที่เกิดเหตุ โดยหลอกลวงโจทก์ร่วมเพื่อให้ไปพบพวกของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ ้เมื่อพวกของจำเลยที่ 1ได้บังคับโจทก์ร่วมและพาไปข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยที่ 1 ก็ยังคงจอดรถจักรยานยนต์รออยู่เป็นเวลานานจนพวกของจำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราเสร็จสิ้นทุกคนแล้วจำเลยที่ 1 จึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับโจทก์ร่วมกลับมาส่งที่บ้าน ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการร่วมกับพวกของจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318โดยมิได้ระบุวรรคนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้เสียให้ถูกต้อง และการกระทำของจำเลยที่ 1ยังฟังได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องโจทก์อีกด้วย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ให้หนักไปกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่เห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 เสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก และมาตรา 318 วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์