โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2535 จำเลย ได้ ขาย ที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ให้ โจทก์ ใน ราคา 6,560 บาทเพื่อ กรมชลประทาน ใช้ ประโยชน์ ใน การ ทำ คัน กั้น น้ำเค็ม กรมชลประทานจะ ทำการ จ่ายเงิน ค่าทดแทน ที่ดิน ให้ แก่ ราษฎร ที่ ถูก เวนคืน ใน เขตชลประทาน คัน กั้น น้ำ เค็ม ราย ของ นาย ไกรฤกษ์ ตียวัฒนฤกษ์ ตาม ที่ดิน โฉนด เลขที่ 2045 เมื่อ เจ้าหน้าที่ ตรวจสอบ หลักฐาน แล้ว ปรากฎ ว่าโฉนด ที่ดิน ดังกล่าว ออก ทับ ที่ดิน น.ส. 3 ของ จำเลย และ เมื่อ เจ้าพนักงานที่ดิน ตรวจสอบ หลักฐาน โดย ละเอียด แล้ว พบ ว่า โฉนด ที่ดิน ดังกล่าวออก เมื่อ วันที่ 30 สิงหาคม 2461 (ร.ศ. 137) ส่วน น.ส. 3 ของ จำเลยออก เมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2525 ซึ่ง เป็น วันเดียว กับ การ ทำ สัญญา ขายที่ดิน ให้ โจทก์ แสดง ว่า จำเลย มี เจตนา ไม่สุจริต มา แต่ เริ่มแรก จำเลยขาย ที่ดิน ให้ โจทก์ โดย ไม่มี มูลเหตุ อัน จะ อ้าง ได้ ตาม กฎหมาย ทำให้โจทก์ เสียหาย ขอให้ บังคับ จำเลย คืนเงิน จำนวน 6,560 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จให้ แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า โจทก์ ฟ้องคดี วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535พ้น กำหนด 1 ปี นับแต่ เวลา ที่ โจทก์ มีสิทธิ เรียกเงิน คืน และ นับแต่จ่ายเงิน ค่า เวนคืน ก็ พ้น กำหนด 10 ปี คดี โจทก์ ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้น เห็นว่า คดี พอ วินิจฉัย ได้ มี คำสั่ง ให้ งดสืบพยาน โจทก์และ จำเลย พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า คดี นี้ เป็น คดี ที่ ฎีกา ได้ แต่ เฉพาะ ใน ปัญหาข้อกฎหมาย การ วินิจฉัย ปัญหา เช่นว่า นี้ ศาลฎีกา จำต้อง ถือ ตามข้อเท็จจริง ที่ ศาลอุทธรณ์ ได้ วินิจฉัย จาก พยานหลักฐาน ใน สำนวนซึ่ง ข้อเท็จจริง ฟังได้ เป็น ยุติ ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ ได้ วินิจฉัย ว่าเมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2525 จำเลย ได้ ขาย ที่ดิน ตาม น.ส. 3 เลขที่ 7ตำบล ปึกเตียน (หนองจอก) อำเภอท่ายาง จังหวัด เพชรบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ให้ แก่ โจทก์ ใน ราคา 6,560 บาท โจทก์ ได้ชำระ เงิน ให้ แก่ จำเลย ใน วัน ทำ สัญญา วันที่ 29 พฤศจิกายน 2532เจ้าพนักงาน ที่ดิน จังหวัด เพชรบุรี ตรวจสอบ หลักฐาน แล้ว พบ ว่า ที่ดินตาม น.ส. 3 ของ จำเลย ออก ทับ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 2045 ของ นาย ไกรฤกษ์ ตียวัฒนฤกษ์ เจ้าพนักงาน ที่ดิน จังหวัด เพชรบุรี ได้ มี หนังสือ แจ้ง ให้ กรมชลประทาน ทราบ เมื่อ วันที่ 10 กรกฎาคม 2533 โจทก์ จึง ฟ้องเรียกเงิน คืน จาก จำเลย เมื่อ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 ปัญหาข้อกฎหมายที่ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา โจทก์ มี ว่า ฟ้องโจทก์ ขาดอายุความ หรือไม่อายุความ ฟ้องร้อง ใน เรื่อง ลาภมิควรได้ นี้ ได้ มี บัญญัติ ไว้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ว่า "ใน เรื่อง ลาภมิควรได้นั้น ท่าน ห้าม มิให้ ฟ้องคดี เมื่อ พ้น กำหนด หนึ่ง ปี นับแต่ เวลา ที่ฝ่าย ผู้เสียหาย รู้ ว่า ตน มีสิทธิ เรียกคืน หรือ เมื่อ พ้น สิบ ปี นับแต่เวลา ที่ สิทธิ นั้น ได้ มี ขึ้น " ตาม บทบัญญัติ มาตรา 419 ดังกล่าว นี้หมายความ ว่า ถ้า ผู้เสียหาย รู้ ว่า ตน มีสิทธิ เรียกคืน เกิน 1 ปีแล้ว ถึง แม้ จะ ยัง ไม่ พ้น 10 ปี นับแต่ เวลา ที่ สิทธิ นั้น ได้ มี ขึ้นหรือ ถ้า ผู้เสียหาย รู้ ว่า ตน มีสิทธิ เรียกคืน ยัง ไม่เกิน 1 ปี แต่ ก็พ้น 10 ปี นับแต่ เวลา ที่ สิทธิ นั้น ได้ มี ขึ้น ก็ ห้าม มิให้ ผู้เสียหายฟ้องคดี เพื่อ เรียกคืน เช่นกัน โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า น.ส. 3 ของ จำเลยได้ มี การ ออก เมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2525 ซึ่ง เป็น วันเดียว กับวัน ทำ สัญญา ขาย ให้ แก่ โจทก์ อันเป็น การแสดง ให้ เห็นว่า จำเลย มี เจตนาไม่สุจริต มา แต่ เริ่มแรก การกระทำ ของ จำเลย เป็น การ ขาย ที่ดิน ให้ แก่โจทก์ โดย ไม่สุจริต และ ไม่มี มูล อัน จะ อ้าง ได้ ตาม กฎหมาย ตาม คำฟ้องของ โจทก์ ดังกล่าว แสดง ว่า โจทก์ ก็ ได้รับ ว่า สิทธิ ที่ จะ เรียกคืนเงิน ค่าซื้อ ที่ดิน จาก จำเลย ของ โจทก์ ได้ มี ขึ้น ตั้งแต่ วัน ทำ สัญญาซื้อ ขาย คือ วันที่ 15 มกราคม 2525 ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า ถ้า โจทก์ จะมีสิทธิ ใน การ เรียกเงิน คืน ก็ ควร นับแต่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2533อันเป็น วันที่ เจ้าพนักงาน ที่ดิน รายงาน เรื่อง น.ส. 3 ของ จำเลยออก ทับ ที่ดิน มี โฉนด ของ ผู้อื่น ให้ กรมชลประทาน ทราบ นั้น จึง ไม่มีเหตุผล ที่ จะ ให้ รับฟัง ได้ จาก ข้อเท็จจริง อันเป็น ที่ ยุติ ตาม คำฟ้องของ โจทก์ ดังกล่าว จึง ฟังได้ ว่า สิทธิ ที่ จะ เรียกคืน เงิน ค่าซื้อ ที่ดินจาก จำเลย ของ โจทก์ ได้ มี ขึ้น ตั้งแต่ วันที่ 15 มกราคม 2525 โจทก์ฟ้องคดี นี้ เมื่อ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 จึง พ้น 10 ปี ฟ้องโจทก์จึง ขาดอายุความ แล้ว
พิพากษายืน