คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,439,158.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,135,494.68 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดห้องชุดเลขที่ 19/92 ชั้น 5 อาคารเอ ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 465,058.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 274,792.23 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤษภาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 โจทก์ยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ได้ยกประเด็นและเนื้อหาแห่งคดีที่โจทก์ฟ้องขึ้นวินิจฉัย ขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขคำพิพากษา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ที่ศาลจะแก้ไขคำพิพากษาให้ได้ ให้ยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2563 โจทก์ยื่นคำร้องด้วยเนื้อหาทำนองเดียวกันโดยอ้างเหตุว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยเพิกถอนคำพิพากษาแล้วมีคำพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า มีเหตุให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามคำร้องของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลและศาลไม่ได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 และมาตรา 133 บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องประเด็นแห่งคดีโดยทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่สิ้นการพิจารณา โดยมาตรา 104 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติหรือไม่ ทั้งมาตรา 87 (1) ยังบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ อันเป็นความหมายว่า การวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องประเด็นแห่งคดี ศาลต้องอาศัยพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาแล้วโดยชอบในสำนวนคดีนั้นเอง ทั้งต้องเป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีในคดีนั้น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ศาลต้องปฏิบัติเกี่ยวกับคดีที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาล และต้องนำมาใช้บังคับในคดีผู้บริโภคด้วย ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำนอง โดยบรรยายฟ้องสรุปความได้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 2,393,000 บาท ตกลงผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือน โดยจดทะเบียนจำนองห้องชุดเลขที่ 19/92 ชั้น 5 อาคารเอ เป็นประกันหนี้ แล้วผิดนัดชำระหนี้ เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับหนี้ด้านสินเชื่อรวมทั้งหนี้รายนี้มาจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามและบังคับจำนองไปยังจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย กับมีคำขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้และบังคับเกี่ยวกับทรัพย์จำนองดังกล่าว โดยโจทก์นำสืบพยานหลักฐานตามประเด็นในคำฟ้องและอ้างส่งเอกสารเป็นพยานต่อศาลรวม 19 ฉบับ เป็นเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.19 แต่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลชั้นต้น กลับปรากฏตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนรายการแห่งคดี เหตุผลแห่งคำวินิจฉัย และคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีว่า เป็นกรณีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 465,058.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 274,792.23 บาท นับถัดจากวันฟ้อง และศาลพิจารณาคำเบิกความของนางสาวธัญญรัตน์ พยานโจทก์ ประกอบเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.12 แล้ว รับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยใช้บริการสินเชื่อกับโจทก์ และผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามจำนวนที่ระบุในรายการแห่งคดีส่วนที่เป็นคำฟ้อง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อ้างว่าโจทก์ขอมาในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ลงเหลืออัตราร้อยละ 12 ต่อปี ทั้งที่โจทก์ขอมาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าข้อที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดไม่ได้เป็นไปตามประเด็นในคำฟ้องและโดยอาศัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในคดีนี้ แต่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดตามพยานหลักฐานซึ่งไม่ใช่พยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีนี้เลย การพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมาย และเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ทั้งยังเป็นข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการพิจารณาพยานหลักฐาน อันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและมีเหตุให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 และเป็นผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องถูกเพิกถอนไปในตัว ส่วนที่โจทก์ไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง เมื่อความผิดระเบียบของกระบวนพิจารณาเพิ่งปรากฏหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่โจทก์จะยื่นคำร้องได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จึงไม่เป็นข้อที่จะต้องพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่เวลาที่คดีเสร็จการพิจารณา กับให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ในสำนวนคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ