โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้ว เป็นจำคุก 4 เดือน (ที่ถูก ยกฟ้องโจทก์สำหรับเช็คเอกสารหมาย จ.16)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับเช็คเอกสารหมาย จ.15 และ จ.17 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้เถียงกันฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 มกราคม 2562 จำนวนเงิน 500,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 จำนวนเงิน 500,000 บาท และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2562 จำนวนเงิน 292,370 บาท ให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 5 สิงหาคม 2561 อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเช็คทั้งสามฉบับไปเรียกเก็บเงินตามเช็ค ตามระเบียบและวิธีการของธนาคาร ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า "มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน" ทั้งสามฉบับ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 และวันที่ 1 เมษายน 2562 ตามสัญญากู้ยืมเงิน เช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2 และ จ.15 ถึง จ.17 ตามลำดับ สำหรับเช็คตามเอกสารหมาย จ.16 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.15 และ จ.17 เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 เป็นความผิดหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จะต้องเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ดังนี้ หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 จึงต้องเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์นำสืบว่า โจทก์จ่ายเงินกู้ให้แก่จำเลย 757,130 บาท และโอนเงินจ่ายให้ผู้รับเหมาช่วงของจำเลย 1,328,960 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายไป 2,086,090 บาท ตามรายการโอนเงินและตารางสรุปการจ่ายเงิน ซึ่งยังไม่ครบจำนวน 2,292,370 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ.2 จึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายในจำนวนเงินกู้เพียง 2,086,090 บาท เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสอง เมื่อเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายทั้ง 5 ฉบับ จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่มีผลบังคับได้ตามกฎหมายเพียง 2,086,090 บาท แต่เช็คทั้ง 5 ฉบับ สั่งจ่ายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,292,370 บาท ซึ่งรวมมูลหนี้ทั้งหมดโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ว่ามีเช็คฉบับใดออกเพื่อชำระเงินกู้ส่วนที่ไม่เกิน 2,086,090 บาท และเช็คฉบับใดมีหนี้ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดอยู่เท่าใดและการออกเช็คหมาย จ.15 และ จ.17 ก็เป็นเช็คที่รวมอยู่ใน 5 ฉบับ ที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้รวมเป็นจำนวน 2,292,370 บาท จึงมีส่วนที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย เช็คพิพาททั้งสองฉบับดังกล่าวจึงมีมูลหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายระคนปนกันอยู่ในจำนวนเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับด้วย จึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่มีส่วนของหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงและไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายรวมอยู่ในเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.15 และ จ.17 ด้วย การออกเช็คหมาย จ.15 และ จ.17 ของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) และปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะไม่ได้กล่าวอ้างมาในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง, 215 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 กับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. 2562 มาตรา 10 ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน