โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักยาปราบวัชพืช ยี่ห้อราวด์อั๊พ15 ลัง ปริมาณ 300 ลิตร ราคา 144,000 บาท ของบริษัทสยามปาล์น้ำมันและอุตสาหกรรม จำกัด ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์คนร้ายได้ร่วมกันงัดกระดานฝากั้นข้างประตูห้องเก็บของของผู้เสียหาย แล้วเอามือล้วงกลอนประตูจนหลุดออก อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ต่อมาเจ้าพนักงานยึดยาปราบวัชพืช ยี่ห้อราวด์อั๊พจำนวน 13 ลังปริมาณ 260 ลิตร ราคา 124,800 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่คนร้ายร่วมกันลักไปอยู่ในครอบครองของจำเลยกับพวกเป็นของกลาง ทั้งนี้โดยตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายลักเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกได้ร่วมกันรับเอาทรัพย์ของกลางของผู้เสียหายไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 19,200 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 4 ปี ข้อหาลักทรัพย์ให้ยกฟ้อง และที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 19,200 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ศาลมิได้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์คำขอส่วนนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งในข้อ 1 และข้อ 2 มิได้มีข้อความใดที่บรรยายระบุยืนยันหรือทำให้เข้าใจได้ว่า โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฐานรับของโจรเลย เพราะตามฟ้องข้อ 1 โจทก์บรรยายมีใจความสำคัญเพียงว่า มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปเท่านั้น ส่วนตามฟ้องข้อ 2 ก็บรรยายเพียงแต่ว่าหลังเกิดเหตุลักทรัพย์ตามข้อ 1 จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งร่วมกันครอบครองทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปนั้นพาหนีไป และต่อมาวันที่16 มิถุนายน 2528 เจ้าพนักงานยึดทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายไปขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยกับพวก จึงยึดไว้เป็นของกลาง ซึ่งก็มิได้ปรากฏข้อความใด ๆ ว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่รับของโจรทรัพย์ของผู้เสียหายเช่นเดียวกัน และด้วยเหตุที่โจทก์ยังไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โจทก์จึงได้สรุปข้อกล่าวหาว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกก็เป็นคนร้ายที่ร่วมกันรับของโจรทรัพย์ของผู้เสียหายนั้นมาทั้งสองฐาน เพื่อให้ศาลวินิจฉัยเลือกลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องในลักษณะเช่นนี้ได้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆอีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วหาใช่เป็นฟ้องที่ขัดกันหรือเคลือบคลุมดังที่จำเลยฎีกาไม่
พิพากษายืน