โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551มาตรา 4, 6, 35, 52 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 282, 317, 319 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 4, 26, 78 พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 3, 4, 26 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 50, 148/2 ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงินจำนวน 130,490 บาท และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงินจำนวน 110,480 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ และไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 35, 52 วรรคสองและวรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคสองและวรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสองและวรรคสาม, 317 วรรคสาม, 319 วรรคแรก พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (3), 78 พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 3 (2), 4 วรรคหนึ่ง, 26 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 50 (3), 148/2 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานค้ามนุษย์โดยได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 52 วรรคสอง ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่ยังไม่เกินสิบแปดปี เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ฐานชักจูง ส่งเสริม ยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำความผิดเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานค้ามนุษย์โดยได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 52 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 6 ปี จำนวน 4 กระทงเป็นจำคุก 24 ปี ฐานค้ามนุษย์โดยได้กระทำแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 52 วรรคสาม ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ฐานชักจูง ส่งเสริมยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำความผิด เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 (2), 52 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 8 ปี จำนวน 2 กระทง เป็นจำคุก 16 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย จำคุก 2 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 2 เดือน ฐานเป็นนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงานในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 47 ปี 8 เดือน ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 130,490 บาท และชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 110,480 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้เสียหายที่ 2ตามฟ้องข้อ 1.8 และข้อ 1.9 ให้ลงโทษฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 10 ปี จำนวน 2 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นแล้ว เป็นจำคุก 51 ปี 8 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอก อ. เบิกความเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อร้อยตำรวจเอก อ. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนสิบตำรวจโทวทัญญูพยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากมีผู้มาแจ้งว่ามีการขายบริการทางเพศหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ร้าน ว. คาราโอเกะ ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้สิบตำรวจโท ว. ไปสืบสวนหาข่าว ในวันที่ 9 สิงหาคม 2560 สิบตำรวจโท ว กับสายลับอีกหนึ่งคนไปที่ร้าน ไปถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ร้านมีลักษณะเป็นร้านคาราโอเกะจำหน่ายเครื่องดื่ม ภายในร้านเปิดไฟสลัว ขณะนั้นมีลูกค้าใช้บริการอยู่ 1 โต๊ะ มีเด็กเสิร์ฟเป็นหญิง 2 คน ลักษณะตัวเล็ก คาดว่าอายุไม่น่าจะเกิน 18 ปี กำลังให้บริการลูกค้าอยู่ สิบตำรวจโท ว. กับพวกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง หลังจากลูกค้าโต๊ะแรกลุกออกไป เด็กเสิร์ฟทั้งสองย้ายมานั่งที่โต๊ะของสิบตำรวจโท ว. สิบตำรวจโท ว สอบถามทราบว่าคนหนึ่งอายุ 19 ปี และอีกคนหนึ่งอายุ 17 ปี สิบตำรวจโท ว. กับพวกพูดคุยและพยายามชวนเด็กเสิร์ฟทั้งสองออกไป ในราคา 1,500 บาท เด็กเสิร์ฟทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าเพิ่งเจอสิบตำรวจโท ว. กับพวกเป็นครั้งแรก สักครู่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของร้านมานั่งที่โต๊ะ สิบตำรวจโท ว. สอบถาม จำเลยตกลงราคาของเด็กเสิร์ฟทั้งสองแบบค้างคืนคนละ 2,000 บาท แต่เด็กเสิร์ฟทั้งสองยังคงปฏิเสธอ้างว่ามีประจำเดือนและเพิ่งเจอสิบตำรวจโทวทัญญูกับพวกเป็นครั้งแรก ขอผัดไปครั้งหน้า สิบตำรวจโท ว. กับพวกนั่งดื่มต่อสักพัก ก็ชำระเงินและออกจากร้านไป ขณะสิบตำรวจโท ว. กับพวกพูดคุยกับเด็กเสิร์ฟทั้งสอง สิบตำรวจโท ว. กับพวกโอบกอดเด็กเสิร์ฟทั้งสอง เด็กเสิร์ฟทั้งสองไม่ได้ขัดขืน ก่อนหน้านี้สิบตำรวจโท ว. เห็นลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งปฏิบัติเช่นเดียวกัน เห็นว่า แม้สิบตำรวจโท ว. จะเบิกความตอบอัยการโจทก์ขออนุญาตศาลถามและตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่า ในวันที่ไปที่ร้าน ว. คาราโอเกะ สายลับนั่งคู่กับเด็กอายุ 17 ปี ชื่อว่า ป. คือหญิงตามภาพในข้อมูลทะเบียนราษฎรแผ่นที่ 2 (ภาพของผู้เสียหายที่ 1) จึงแตกต่างกับผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความว่าหนีออกจากร้าน ว. คาราโอเกะในวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 ก่อนวันที่สิบตำรวจโท ว. ไปล่อซื้อก็ดีหรือสิบตำรวจโท ว. เบิกความตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่า จำชื่อสายลับไม่ได้ก็ดีในวันดังกล่าวสิบตำรวจโท ว. ไปล่อซื้อแต่การล่อซื้อไม่สำเร็จ สิบตำรวจโท ว. อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากนัก เมื่อสิบตำรวจโท ว. มาเบิกความต่อศาลหลังจากไปล่อซื้อที่ร้านจำเลยนานถึง 1 ปีเศษ อาจจำไม่ได้หรือจำผิดพลาดไปบ้าง ข้อแตกต่างจึงเป็นเพียงข้อปลีกย่อยไม่ใช่สาระสำคัญที่เป็นพิรุธถึงกับทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาทั้งหมดเสียไป ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายทั้งสองโกรธเคืองจำเลยเพราะถูกจำเลยดุด่าและผู้เสียหายทั้งสองก็ไม่ได้ถูกจับกุมที่ร้านจำเลยนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสองให้การหลังจากถูกร้อยตำรวจ อ. เรียกสอบถามที่ร้าน ฮ. ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ผู้เสียหายทั้งสองหนีออกจากร้าน ว. คาราโอเกะแล้ว จึงไม่มีสาเหตุที่ผู้เสียหายทั้งสองจะต้องปรักปรำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยให้ต้องรับโทษทางอาญาที่หนักเช่นนี้ และการที่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ได้ถูกจับกุมที่ร้านจำเลยก็ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ไม่ทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาเสียไป ส่วนจำเลยนำสืบโดยจำเลยเบิกความว่า ร้านจำเลยมีการจำหน่ายเครื่องดื่มและกับแกล้ม มีบริการร้องเพลงคาราโอเกะ ผู้เสียหายที่ 1 มาขอทำงานที่ร้าน จำเลยทราบว่าผู้เสียหายที่ 1 อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่เห็นว่าเป็นลูกเป็นหลานและมีภูมิลำเนาเดียวกัน จำเลยจึงรับผู้เสียหายที่ 1 เข้าทำงานให้ช่วยงานเสิร์ฟอาหารและล้างจาน ระหว่างที่ทำงานอยู่กับจำเลย ผู้เสียหายที่ 1 พาผู้เสียหายที่ 2 มาของานทำจำเลยปฏิเสธ เพราะผู้เสียหายที่ 2 อายุต่ำกว่า 18 ปี และไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง ผู้เสียหายที่ 2 ขอพักอยู่ 1 คืน ก็หนีไปพร้อมกับผู้เสียหายที่ 1 การดูแลลูกค้าหมายถึงการเสิร์ฟอาหาร พูดคุยกับลูกค้า ไม่ใช่การนั่งให้ลูกค้ากอด จูบ จำเลยไม่เคยหักค่านั่งดริ๊งก์ของผู้เสียหายทั้งสอง แต่ทางนำสืบของจำเลยข้างต้น จำเลยมีเพียงบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงที่ระบุว่า นาย ร. ชอบมานั่งดื่มกินในร้านจำเลย ในร้านมีโต๊ะนั่งกิน มีทีวี มีเพลงฟัง มีพนักงานเสิร์ฟอาหารเครื่องดื่ม แต่ละคนอายุน่าจะเกิน 25 ปี นาย ร. ไม่เคยเห็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ลูกค้านั่งดื่มกินปกติ ไม่มีโต๊ะไหนนั่งกอด จูบ ลูบ คลำพนักงานเสิร์ฟ ไม่มีการเก็บค่านั่งดริ๊งก์ แต่จำเลยก็ไม่นำนาย ร. มาเบิกความสนับสนุนให้เห็นตามที่อ้าง พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่ได้ความจากพยานทั้งห้าปากมีน้ำหนักมั่นคง ไม่ได้เป็นพิรุธในสาระสำคัญและเบิกความขัดแย้งกันเองตามที่จำเลยฎีกา เชื่อว่า จำเลยรับผู้เสียหายทั้งสองเข้าทำงานที่ร้านวังสาว คาราโอเกะให้ทำงานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า ลูกค้าที่ร่วมโต๊ะจะกอด จูบ ลูบ คลำตัวผู้เสียหายทั้งสองผู้เสียหายทั้งสองได้ค่านั่งดริ๊งก์ชั่วโมงละ 120 บาท จำเลยหักไว้ 20 บาท และผู้เสียหายที่นั่งดริ๊งก์ได้รับ 100 บาท จำเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปกับลูกค้า ให้ไปร่วมหลับนอนกับลูกค้า ได้ค่าตัว 1,500 บาท จำเลยหักไว้ 500 บาท และผู้เสียหายที่ 1 ได้รับ1,000 บาท ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าที่โรงแรม ศ. และโรงแรม ม. จำเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกไปกับลูกค้า แต่ผู้เสียหายที่ 2 ปฏิเสธเนื่องจากมีประจำเดือน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า จำเลยได้รับอนุญาตประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ ประเภทคาราโอเกะ และได้รับใบอนุญาตให้ขายสุราตามใบอนุญาตประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์และใบอนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 3 ไม่มีบริการในรูปแบบหญิงพนักงานเสิร์ฟปรนนิบัติลูกค้าที่มาใช้บริการ ผู้เสียหายที่ 1 รู้จักจำเลย จำเลยจึงให้ที่พักอาศัย และให้ผู้เสียหายที่ 1 ช่วยงานเสิร์ฟและล้างจานเท่านั้น เสมือนบุคคลในครอบครัว ไม่มีการจ้างประจำ ไม่มีเงินเดือน เพียงให้อยู่อาศัยช่วยเหลือในฐานะคนรู้จัก ส่วนผู้เสียหายที่ 2 รู้จักผู้เสียหายที่ 1 และมาอยู่ที่ร้านจำเลยได้ 2 วันจำเลยไม่ได้รับเข้าทำงาน จำเลยไม่ได้ใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานเป็นนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงานในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 นั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 3 บัญญัติว่า "สถานบริการ" หมายความว่า สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการโดยหวังประโยชน์ในทางการค้าดังต่อไปนี้ ... (2) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายและบริการโดยมีผู้บำเรอสำหรับปรนนิบัติลูกค้า..." และมาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งสถานบริการ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่..." และตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 4 บัญญัติว่า "ในพระราชบัญญัตินี้ "เด็ก" หมายความว่าบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์..." และมาตรา 26 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการ ดังต่อไปนี้... (3) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด..." เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่า จำเลยประกอบกิจการร้านขายอาหารใช้ชื่อว่า "ว." จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งสอง ซึ่งขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 17 ปีเศษ และผู้เสียหายที่ 2 อายุ 14 ปีเศษ ทำงานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า ลูกค้าที่ร่วมโต๊ะจะกอด จูบ ลูบ คลำตัวผู้เสียหายทั้งสอง ค่านั่งดริ๊งก์ชั่วโมงละ 120 บาท จำเลยหักไว้ 20 บาท และผู้เสียหายที่นั่งดริ๊งก์ได้รับ 100 บาท เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ ประเภทคาราโอเกะ และได้รับอนุญาตให้ขายสุราตามใบอนุญาตประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์และใบอนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 3 ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานบริการตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 และจำเลยจัดให้ผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปี คอยบำเรอปรนนิบัติบริการลูกค้าจำเลยจึงกระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานเป็นนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงานในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า จำเลยไม่เคยให้ผู้เสียหายทั้งสองทำงานนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า จำเลยให้ผู้เสียหายที่ 1 ช่วยงานเสิร์ฟและล้างจานเท่านั้น เสมือนบุคคลในครอบครัว ไม่มีการจ้างประจำ ไม่มีเงินเดือนเพียงให้อยู่อาศัยช่วยเหลือในฐานะคนรู้จัก จำเลยไม่เคยให้ผู้เสียหายที่ 1 ขายบริการทางเพศเพื่อแลกกับค่าจ้าง ส่วนผู้เสียหายที่ 2 จำเลยไม่เคยชักชวนหรือเรียกให้มาพักอาศัยอยู่ที่ร้านจำเลยและไม่ได้รับเข้าทำงาน ผู้เสียหายที่ 2 รู้จักผู้เสียหายที่ 1 และมาอยู่ที่ร้านจำเลยเพียงระยะเวลาสั้น จำเลยไม่ได้ว่าจ้างผู้เสียหายที่ 2 หรือจ่ายค่าตอบแทน จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้องข้อ 1.7 และข้อ 1.10 และไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 130,490 บาท และผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 110,480 บาท นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 17 ปีเศษ เป็นบุตรและอยู่ในปกครองของนายทองสา และผู้เสียหายที่ 2 อายุ 14 ปีเศษเป็นบุตรและอยู่ในปกครองของนาย ณ. จำเลยรับผู้เสียหายทั้งสองเข้าทำงานที่ร้าน ว. ให้ทำงานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า ลูกค้าที่ร่วมโต๊ะจะกอด จูบ ลูบ คลำตัวผู้เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายทั้งสองได้ค่านั่งดริ๊งก์ชั่วโมงละ 120 บาท จำเลยหักไว้ 20 บาท และผู้เสียหายที่นั่งดริ๊งก์ได้รับ 100 บาท จำเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปกับลูกค้า ให้ไปร่วมหลับนอนกับลูกค้า ได้ค่าตัว 1,500 บาท จำเลยหักไว้ 500 บาท และผู้เสียหายที่ 1 ได้รับ 1,000 บาท ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าที่โรงแรม ศ. และโรงแรม ม. จำเลยบอกให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกไปกับลูกค้า แต่ผู้เสียหายที่ 2 ปฏิเสธเนื่องจากมีประจำเดือน เมื่อขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุยังไม่เกินสิบแปดปี และผู้เสียหายที่ 2 อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้เสียหายทั้งสองเป็นบุตรและอยู่ในปกครองของนาย ท. และนาย ณ. ตามลำดับ การที่จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งสองทำงานเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์บริการลูกค้า ลูกค้าที่ร่วมโต๊ะจะกอด จูบ ลูบ คลำตัวผู้เสียหายทั้งสอง ค่านั่งดริ๊งก์ชั่วโมงละ 120 บาท จำเลยหักไว้ 20 บาท และผู้เสียหายที่นั่งดริ๊งก์ได้รับ 100 บาท จำเลยให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า ได้ค่าตัว 1,500 บาท จำเลยหักไว้ 500 บาทและผู้เสียหายที่ 1 ได้รับ 1,000 บาท ทำให้อำนาจปกครองของนาย ท. และนาย ณ. ถูกรบกวน โดยนาย ท.และนาย ณ. ไม่รู้เห็นยินยอม เป็นการพรากผู้เสียหายทั้งสองไปจากอำนาจปกครองของนาย ท. และนาย ณ. ตามลำดับ เพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้องข้อ 1.7 และข้อ 1.10 และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายทั้งสอง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบด้วยเหตุและผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน