โจทก์จำเลยเป็นคนชอบพอนับถือกันเคยหยิบยืมเงินทองกันใช้สอยเมื่อปลายปี 2487 จำเลยรักใคร่นางสอาด ๆ จะเอาเงิน 5,000 บาท จำเลยไม่มีเงินจึงร้องขอให้โจทก์ออกเงิน 5,000 บาท จ่ายแทนจำเลยให้นางสอาดก่อน อีก 2-3 วันจำเลยจะคืนให้ โดยความเชื่อถือกันโจทก์ยอมรับปากกับจำเลย เวลาบ่ายจึงเอาเงิน5,000 บาท ไปจ่ายให้นางสอาดตามความประสงค์ของจำเลย การจ่ายเงินจำนวนนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ใช้เงิน 5,000 บาทที่โจทก์จ่ายให้นางสอาดไป
ปัญหามีว่า การที่โจทก์จ่ายเงินแทนจำเลยให้แก่นางสอาดตามคำร้องของจำเลยนั้น จะเรียกว่าโจทก์เป็นตัวแทนได้กระทำการตามคำสั่งของจำเลยผู้เป็นตัวการหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการกู้ยืมเงิน เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่าโจทก์เป็นผู้ใช้เงินให้แก่นางสอาดแทนจำเลยเป็นการกระทำที่มีอำนาจทำแทนจำเลยอย่างชัดแจ้ง เพราะจำเลยร้องขอให้ทำแทนกิจการที่ทำไปนั้น เป็นกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการโจทก์เป็นตัวแทนเสมือนเครื่องมือเท่านั้น นางสอาดจะเป็นเจ้าหนี้จำเลยในทางใดหรือไม่ก็ตามไม่ใช่เรื่องของโจทก์ โจทก์ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยในภาระกิจของจำเลย การที่ตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปในกิจการที่ตนได้รับมอบหมายจากตัวการเช่นนี้ ตัวแทนมีสิทธิจะเรียกเงินชดใช้จากตัวการได้ ตามมาตรา 816 และการทดรองเงินไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 ซึ่งเป็นเรื่องกู้ยืมโดยเฉพาะ จะยกมาใช้ในกรณีนี้ไม่ได้ เพราะต่างลักษณะกัน จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์