โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,175, 180, 264, 265, 266(4)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดฐานปลอมเอกสาร ฟ้องเท็จ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 180, 264, 265, 266(4), 83, 91ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 180 วรรคสอง, 266(4), 83 การแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามมาตรา 180 วรรคสองเป็นการใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 266(4) ของจำเลยที่ 1 เอง จึงลงโทษตามมาตรา 266(4) แต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 266(4)ให้ปรับ 16,000 บาท ความผิดฐานฟ้องเท็จให้ปรับ 8,000 บาท เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมปรับ 24,000 บาทหากไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เช็คเอกสารหมาย จ.1 เป็นเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระเงินดาวน์ในการเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 ลงวันที่ 4 สิงหาคม2524 โจทก์นำเช็คเอกสารหมาย จ.1 ไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2524 แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 2 ได้นำเช็คเอกสารหมายจ.1 ซึ่งมีการปลอมลายมือชื่อของโจทก์ลงกำกับการแก้ไขวันสั่งจ่ายจากวันที่ 4 สิงหาคม 2524 เป็นวันที่ 12 กรกฎาคม 2526 ไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ครั้นวันที่ 19 สิงหาคม 2526 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในข้อหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1116/2526ของศาลชั้นต้นในการพิจารณาคดีวันที่ 12 กันยายน 2526 จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ได้อ้างส่งเช็คเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานต่อศาลคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับพวกแก้ไขวันเดือนปี และปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในเช็คเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เช็คเอกสารหมายจ.1 อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา การแก้ไขวันเดือนปีและปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในเช็คเอกสารหมาย จ.1 เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำการดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยนั้นเห็นว่าคดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อเท็จจริงส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อกฎหมายก็ตามคดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามเสียแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้"
พิพากษายืน