โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (4), 83, 91, 371 และให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสุทิพย์ เกษเพชร มารดาของนายณรงค์ฤทธิ์ ชัยเมืองผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะในความผิดต่อชีวิต ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 20 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 6 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 20 ปี 12 เดือน คำร้บสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 79 (ที่ถูก มาตรา 78) คงจำคุก 12 ปี 24 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้ตายกับพวกหลายคนซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีบางกะปินั่งรถโดยสารประจำทางสาย 143 จะไปโรงเรียน ขณะรถจะแล่นเข้าจอดป้ายที่หน้าหมู่บ้านพฤกษชาติ แขวงสะพานสูง เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ถูกกลุ่มจำเลยกับพวกซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพและเป็นคู่อริกันใช้ก้อนหินขว้างขึ้นไปบนรถ รถโดยสารประจำทางคันดังกล่าวได้แล่นเลยไปจอดห่างจากป้ายจอดรถประมาณ 10 เมตร ผู้ตายกับพวกวิ่งลงจากรถแล้วขว้างปาก้อนหินเข้าใส่กลุ่มของจำเลยกับพวก นายนิรันดร์ โพล้งหิรัญ เพื่อนจำเลยได้หยิบอาวุธปืนของบิดาออกจากเป้ส่งให้แก่จำเลย จำเลยรับอาวุธปืนแล้วยิงไป 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาหรือไม่ สำหรับความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อหาความผิดดังกล่าว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสันติ คงอ่อนเพื่อนผู้ตายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า เมื่อรถโดยสารประจำทางที่พยานกับผู้ตายและพวกนั่งมาถูกพวกจำเลยใช้ก้อนหินขว้าง รถคันดังกล่าวได้แล่นไปจอดเลยป้ายจอดรถประมาณ 10 เมตร พยานและผู้ตายกับพวกวิ่งลงจากรถแล้วใช้ก้อนหินขว้างไปที่พวกจำเลย และเห็นจำเลยซึ่งยืนอยู่ห่างจากพยานประมาณ 20 เมตร ยกอาวุธปืนสั้นเล็งยิงมาที่กลุ่มพยาน 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายล้มลง จากนั้นจำเลยกับพวกพากันวิ่งหลบหนีไป นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีพันตำรวจโทธนา ปานประยูร ผู้จับกุมจำเลย และร้อยตำรวจเอกธีระวัฒน์ นุมานิต พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางชันมาเบิกความยืนยันว่า หลังจากติดตามจับกุมจำเลยได้ในวันนั้น จำเลยให้การรับสารภาพว่าใช้อาวุธปืนสั้นที่นายนิรันดร์ โพล้งหิรัญ ส่งให้ยิงไปทางผู้ตาย 1 นัด ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของสันติประจักษ์พยาน ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่า ขณะเกิดเหตุพวกผู้ตายมีมีดและไม้เป็นอาวุธวิ่งข้ามมาจะทำร้ายจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัวนั้น เห็นว่า ทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ จำเลยไม่เคยกล่าวอ้างว่าเห็นผู้ตายกับพวกมีมีดและไม้เป็นอาวุธจะวิ่งเข้ามาทำร้ายแต่อย่างใดแม้นายแทนธวัช ลาวรรณ์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมจะเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เห็นพวกผู้ตายบางคนถือไม้ ถือมีดลงจากรถโดยสารประจำทางมาด้วยแต่ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานปากนี้ก็ไม่ได้ระบุว่าขณะเกิดเหตุพวกของผู้ตายมีมีดและไม้เป็นอาวุธจะเข้าทำร้ายจำเลยแต่อย่างใด คงให้การแต่เพียงว่าก่อนเกิดเหตุพวกผู้ตายกับพวกจำเลยใช้ก้อนหินขว้างใส่กันแล้วมีเสียงปืนดัง 1 นัด เท่านั้น ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวพยานได้ให้ปากคำไว้ในวันเกิดเหตุอันเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ไม่ทันที่พยานจะมีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกับพยาน คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณา ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนายิงผู้ตายเพียงแต่ยกอาวุธปืนขึ้นขู่ไม่ให้พวกผู้ตายเข้ามา แต่ปืนได้ลั่นขึ้นนั้น เห็นว่า อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนลูกโม่โดยสภาพแล้วไม่อาจสั่นขึ้นเองได้หากจำเลยไม่ตั้งใจเหนี่ยวไก ทั้งในบันทึกการจับกุม และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน จำเลยก็รับว่าได้ใช้อาวุธปืนที่รับมาจากนายนิรันดร์ยิงไปทางพวกผู้ตายข้อที่จำเลยอ้างว่าปืนสั่นจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับพวกและจำเลยกับพวกได้ขว้างปาก้อนหินใส่กันแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงไปที่กลุ่มของผู้ตายจริง พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม การที่จำเลยใช้ปืนอันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงเข้าไปในกลุ่มของผู้ตาย จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจจะถูกผู้หนึ่งใดในกลุ่มนั้นถึงแก่ความตายได้ เมื่อกระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายถึงแก่ความตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน