คดีนี้  โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับพวกได้รับอนุญาตให้ตัดฟันไม้กระยาเลยในป่า  โจทก์ได้ชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าไปแล้วจำนวน ๙๖๐ บาท  โจทก์และนายชุ่ม  แสนโคตรได้ตัดฟันไม้ตามใบอนุญาตนั้นแล้ว  ได้ไม้รวม ๓๘๐๔ ท่อน  โจทก์ได้นำเงินมัดจำเพื่อให้เจ้าพนักงานตีตราคำนวณค่าภาคหลวงจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท  ไปวางที่นายอำเภอเชียงดาว  นายอำเภอเชียงดาวได้สั่งให้นายดวงสอน  มหากัญชา  ตรวจวัดไม้และตรีตราเพื่อชำระค่าภาคหลวงไว้ให้โจทก์ได้จำนวน ๑๐๒๑ ท่อน  ก็พอดีจำเลยที่ ๕ ซึ่งขณะนั้นเป็นป่าไม้เขตจังหวัดเชียงใหม่  ได้ออกไปตรวจและตีตรายึดไม้ที่โจทก์และนายชุ่ม  แสนโคตร  ตัดไว้ทั้งหมดรวมทั้งไม้ ๑๐๒๑ ท่อนที่นายดวงสอนได้ตรวจวัดตีตราแล้วนั้นด้วย
ต่อมาโจทก์และนายชุ่ม  แสนโคตร  จึงถูกจับและสั่งฟ้องศาลจังหวัดเชียงใหม่  แต่ในการฟ้องหาได้ฟ้องโจทก์กับนายชุ่ม  แสนโคตร  เกี่ยวกับไม้ ๑๐๒๑ ท่อนที่ป่าไม้  อำเภอเชียงดาวได้ตรวจและตีตราค่าภาคหลวงแล้วแต่อย่างใดไม่  ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุกโจทก์และนายชุ่ม  โจทก์ได้ร้องต่อจำเลยที่ ๓ ขอคืนเงินมัดจำค่าภาคหลวงจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท  และเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้า ๙๖๐ บาท  และค่าเสียหายเนื่องจากไม้ที่โจทก์ตัดฟันไว้ ๓๘๐๔ ท่อน  ซึ่งจำเลยที่ ๕  เป็นผู้ทำการรักษาไว้ในระหว่างตีตรายึดได้  ผุพังไปถูกไฟป่าไหม้  และสูญหายไปจนหมดสิ้น  ทั้งนี้  เพราะจำเลยไม่ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับและระเบียบแบบแผน  ได้ปฏิบัติราชการด้วยความประมาทเลินเล่อ  จำเลยจึงมีหน้าที่คืนเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้า ๙๖๐ บาท  เงินค่ามัดจำค่าภาคหลวง ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์  พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป   นับแต่วันที่  ๒๔  เมษายน  ๒๔๙๙  ซึ่งถือว่าจำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้อง  แต่โจทก์ขอคิดเอาเพียง ๕ ปี  เป็นเงิน ๑๑,๒๕๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๒,๒๑๐ บาท
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ  โจทก์กับพวกไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าที่ได้นำมาวางคืน
คู่ความรับกันว่าเงินมัดจำการตรวจตีตราไม้เก็บค่าภาคหลวง ๓๐,๐๐๐ บาท  ที่โจทก์ชำระให้แก่เจ้าหน้าที่อำเภอเชียงดาวนั้นเป็นเงินมัดจำสำหรับให้ไปตรวจตีตราไม้  ไม้ที่ได้ตรวจตีตราเพื่อเรียกเก็บค่าภาคหลวงแล้วนั้นมีรวมทั้งหมด ๑๐๒๑ ท่อน  ไม้จำนวนนี้ได้ถูกจำเลยที่ ๕ ผู้มีตำแหน่งป่าไม้เขตเชียงใหม่ยึดไว้ระหว่างวันที่  ๑๒  ถึง  ๒๐  มกราคม  ๒๔๙๙  รวมกับไม้อื่น ๆ ที่โจทก์และนายชุ่ม  แสนโคตร  ตัดฟันและยังไม่ได้ตรวจตีตรา  ขณะนั้นไม้ ๑๐๒๑ ท่อนได้สูญหายไปหมดสิ้นแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินมัดจำการตรวจตีตราเพื่อเก็บค่าภาคหลวงตามส่วนไม้ของโจทก์จำนวน ๒,๔๕๐ บาท  และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  นับแต่วันที่  ๒๔  เมษายน  ๒๔๙๙ เป็นต้นมา  เป็นเวลา ๕ ปี  และนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์  ให้จำเลยชำระเงินค่าภาคหลวงล่วงหน้าจำนวน ๒๙๐ บาท  พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  นับแต่วันที่  ๒๘  มกราคม  ๒๕๐๖  เป็นต้นไป  จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ถ้าจำเลยที่ ๕  มิได้สั่งยึดไม้รายนี้ไว้  และไม้รายนี้มิได้สูญหายไปในระหว่างที่ถูกจำเลยที่ ๕ ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ยึดไว้แล้ว     การทำไม้ก็เป็นอันสมบูรณ์  แต่ไม้รายนี้ได้ทำถูกต้องตามกฎหมายแล้ว  แต่จำเลยที่ ๕ ได้มีคำสั่งให้ยึดไว้รวมกับไม้รายอื่นที่โจทก์ทำผิดแล้วไม่ถอนคืนให้โจทก์  ต่อมาไม้ได้สูญหายไปในระหว่างถูกจำเลยที่ ๕ สั่งยึด  และการสูญหายก็อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑  ด้วย  ดังนี้  จะถือว่าการทำไม้สมบูรณ์แล้วหาได้ไม่  การทำไม้รายนี้เป็นการทำโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว  แต่โจทก์ไม่ได้ไม้ไป  จำเลยจึงไม่มีอำนาจเอาเงินค่าภาคหลวงของโจทก์ไว้โดยที่มิใช่เป็นเรื่องละเมิด  จำเลยที่ ๑  ผู้เดียวจึงต้องคืนเงินค่าภาคหลวงที่เก็บไปแล้วแก่โจทก์  ส่วนจำเลยที่ ๒ - ๕ ไม่ต้องรับผิด  ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้ง ๕  รับผิดคืนเงินดังกล่าวให้โจทก์นั้นจึงยังไม่ชอบ  ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑  คืนเงินมัดจำการตรวจตีตราเพื่อเก็บค่าภาคหลวงจำนวน ๒,๔๕๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  นับแต่วันที่  ๒๔  เมษายน  ๒๔๙๙  เป็นต้นมา  เป็นเวลา ๕ ปี  และนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์  และให้จำเลยที่ ๑  ชำระค่าภาคหลวงล่วงหน้าจำนวน ๒๙๐ บาท  พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี  นับแต่วันที่  ๒๘  มกราคม  ๒๕๐๖  เป็นต้นไป  จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย  ยกฎีกาของจำเลยที่ ๑ เสีย  ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ - ๕