โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๒  ถึงจำเลยที่ ๘  กับพวกประกอบการค้าที่ดินในนามบริษัทกรุงเทพฯ กรีฑา จำกัด   ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล  จึงเป็นการประกอบการค้าโดยคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา  จำเลยที่ ๑  ซึ่งมิใช่นิติบุคคล  มีจำเลยที่ ๒  เป็นผู้จัดการ  จำเลยที่ ๑ ประกอบการค้าโดยมิได้จดทะเบียนการค้า  และไม่ได้เสียภาษีการค้า  เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑  โดยจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการชี้แจงและแสดงบัญชีหลักฐานการค้า ปรากฏว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๐๖  ถึง ๒๕๑๓  จำเลยที่ ๑  จะต้องเสียภาษีการค้า  ภาษีบำรุงเทศบาล  เบี้ยปรับ  และเงินเพิ่มรวม ๙,๓๔๗,๓๐๐ บาท ๗๒ สตางค์  จำเลยที่ ๑  โดยจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน  คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยชำระภาษีเป็นเงิน ๔,๖๔๑,๖๓๓ บาท ๘๘ สตางค์  แต่จำเลยไม่ยอมชำระ  ขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๘  ร่วมกันชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒  ถึงจำเลยที่ ๘  ส่วนจำเลยที่ ๑ สั่งไม่รับฟ้อง  อ้างว่ามิได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย  ไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดี  กล่าวคือเป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลได้นั้น  จะต้องเป็นบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑ (๑๑)  ว่า  "คู่ความ  หมายความว่า  บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล  ฯลฯ"  และคำว่าบุคคลนั้น  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล  สำหรับคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา  จำเลยที่ ๑  นั้นมิใช่บุคคลธรรมดา  เพราะเป็นเพียงคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น  และคณะบุคคลกรุงเทพฯ กรีฑา  จำเลยที่ ๑ ก็มิใช่นิติบุคคล  เพราะโจทก์ยอมรับในคำฟ้องอยู่แล้ว  เมื่อจำเลยที่ ๑ มิใช่บุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้  โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องจำเลยที่ ๑  ให้รับผิดได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า  คำว่าบุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มีความหมายกว้างขวางกว่าคำว่าบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  โดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๔๒  ถึงมาตรา ๔๔  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๗๓๔  ถึงมาตรา ๑๗๔๔  พระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. ๒๔๘๓  มาตรา ๘๒  ถึงมาตรา ๘๗  บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนและบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ตลอดจนอ้างคำพิพากษาฎีกาว่าตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ก็เป็นคู่ความได้นั้น  เห็นว่าไม่ตรงกับรูปเรื่องในคดีนี้  เพราะบทบัญญัติดังกล่าวนั้นมิใช่บทบัญญัติว่าด้วยบุคคลโดยตรง  หรือที่บัญญัติเกี่ยวด้วยนิติบุคคลเช่นบทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนบริษัทก็บัญัติไว้ชัดเจนในมาตรา ๑๐๑๕  ว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะเป็นนิติบุคคลได้จะต้องจดทะเบียนตามกฎหมายเสียก่อน  และคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างว่าตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ก็เป็นคู่ความได้นั้น  ก็เป็นเรื่องตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งต่างหากที่เป็นคู่ความได้  ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น  ส่วนที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง  (ร.ส. ๑๒๗)  พ.ศ. ๒๔๕๑  มาตรา ๒๓  ให้ฟ้องนามสมญาหรือยี่ห้อของหุ้นส่วนได้นั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยมาตรา ๔  แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  พุทธศักราช ๒๔๗๗  ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังมิได้อีกเช่นกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑  นั้น  ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย
พิพากษายืน