คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน72,164.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี แก่โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินอันเป็นทรัพย์จำนอง เพื่อบังคับชำระหนี้และขายทอดตลาดเมื่อวันที่22 ธันวาคม 2532 ได้เงิน 340,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ 707/2530 ของศาลจังหวัดพิจิตร โดยศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 358,321.81 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ร้องได้ดำเนินการบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินจำเลยและพวกออกขายทอดตลาด แต่ยังไม่พอชำระหนี้ครบถ้วน ยังค้างชำระอยู่จนถึงวันยื่นคำร้องเป็นเงิน 257,682.05 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นใดที่ผู้ร้องจะบังคับชำระหนี้ได้ครบถ้วน ผู้ร้องจึงขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไว้ในคดีนี้
โจทก์ไม่คัดค้าน แต่แถลงว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาหักชำระหนี้โจทก์ก่อน หากเหลือจึงค่อยเฉลี่ยชำระหนี้ผู้ร้อง
จำเลยคัดค้านว่า ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่อ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นไม่เป็นความจริง ผู้ร้องได้ยึดที่ดินมีโฉนดของจำเลยที่จังหวัดพิจิตรได้ และยังไม่ได้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวมีราคามากกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่และคดีนี้เป็นเรื่องบังคับจำนอง หากผู้ร้องจะมีสิทธิก็แต่เพียงขอรับชำระหนี้ในส่วนที่เหลือจากชำระหนี้โจทก์แล้ว ไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่เหลือจากการขายทรัพย์สินในคดีนี้ภายหลังจากชำระหนี้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองแล้ว จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยังมีทรัพย์สินอย่างอื่นอีกสามารถเอาชำระหนี้ได้ ศาลจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ไม่ได้และผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย แม้จะมีทรัพย์สินอย่างอื่นของจำเลยที่ผู้ร้องนำยึดไว้และยังไม่ได้ขายทอดตลาดให้เสร็จสิ้น แต่ถ้าขายทอดตลาดแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้รับเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้ผู้ร้องได้ครบถ้วนหรือไม่ นอกจากทรัพย์สินที่ถูกยึดแล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก และหากให้รอการขายทอดตลาดทรัพย์สินอย่างอื่นที่ผู้ร้องนำยึดไว้เสียก่อนย่อมล่วงเลยกำหนดเวลาที่ผู้ร้องจะยื่นคำขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้ ถึงอย่างไรก็ตามโจทก์หาได้คัดค้านคำขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ซึ่งตามมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ข้อที่จำเลยอ้างว่า จำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถบังคับชำระหนี้ได้เป็นข้ออ้างที่ใช้โต้แย้งระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกัน จำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้จะยกขึ้นโต้แย้งหาได้ไม่ และไม่มีเหตุที่จะฟังว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่เหลือจากการขายทรัพย์สินในคดีนี้ภายหลังจากชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้จำนองแล้วและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"
พิพากษายืน