โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๘) ลงโทษจำคุก ๑ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหามีว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักเอาเงิน๘๐๐ บาทของนางคำหม่อน ครองยุทธ ผู้เสียหายไปตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่โจทก์มีนายบรรจง ครองยุทธ สามีผู้เสียหายเป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักเอาเงินของผู้เสียหายไปแต่นายบรรจงก็ไม่เห็นขณะที่จำเลยลักเอาเงิน นายบรรจงเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนาเท่านั้นในขณะที่นายบรรจงเดินจะมาดื่มน้ำที่กระท่อมนาเงินที่หายไปอยู่บนกระท่อมนาซึ่งยกพื้นสูง หากจำเลยเป็นคนลักเอาเงินบนกระท่อมนาเมื่อได้เงินแล้ว จำเลยก็น่าจะรีบหนีออกไปจากกระท่อมนา ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะมายืนอยู่ใต้กระท่อมนา การที่เห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนานั้นจึงไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักเอาเงิน นายบรรจงออกจากกระท่อมนาไปที่เตาเผาถ่านซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๓ เส้น นานประมาณ ๓๐ นาทีจึงกลับมาที่กระท่อมนาและเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา จำเลยมายืนอยู่ที่ใต้กระท่อมนานานเท่าไรก็ไม่ปรากฏก่อนที่จำเลยจะมายืนอยู่ใต้กระท่อมนานั้นอาจจะมีคนอื่นมาที่กระท่อมนาแล้วลักเอาเงินบนกระท่อมนาไปก็ได้ เพราะปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า ตามปกติบริเวณกระท่อมนาของผู้เสียหายจะมีคนนำรถมาจอดไว้แล้วออกไปหาปลาซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระท่อมนาของผู้เสียหายปลูกอยู่ใกล้กับทางที่ชาวบ้านจะไปหาปลา นอกจากจะมีรถมาจอดแล้วก็น่าจะมีคนเดินผ่านกระท่อมนาของผู้เสียหายเพื่อไปหาปลากระท่อมนาของผู้เสียหายจึงตั้งอยู่ในที่เปิดเผย มีชาวบ้านเดินผ่านไปมา คนที่เดินผ่านกระท่อมนามีโอกาสที่จะขึ้นไปลักเอาเงินบนกระท่อมนาได้ง่าย ที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อนายบรรจงเห็นจำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา นายบรรจงถามจำเลยว่ามาทำอะไร จำเลยไม่ตอบกลับเดินออกไปก็ดี เมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยวิ่งหนีไปไกลประมาณ ๑๐๐ เมตร เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยได้ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นข้อพิรุธที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยเป็นคนร้ายก็ดี เห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวอาจจะเป็นพิรุธจริง แต่การกระทำอันเป็นพิรุธของจำเลยเช่นนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำอันเป็นพิรุธของจำเลยและการที่จำเลยยืนอยู่ใต้กระท่อมนา ภายหลังจากที่เงินของผู้เสียหายได้หายไปนั้นเป็นเพียงพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าจำเลยน่าจะเป็นคนร้ายเท่านั้นแต่โจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบเพื่อยืนยันให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ตลอดมาว่าจำเลยมิได้กระทำผิด พยานโจทก์เป็นที่สงสัยจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง..."
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.