โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157, 201
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 201 (เดิม)
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นพนักงานอัยการเรียก รับทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 201 (เดิม)
ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยรับราชการสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด
ตำแหน่งอัยการพิเศษประจำกรม สำนักงานอัยการเขต 3 (ปัจจุบันสำนักงานอัยการภาค 3) ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ
รักษาการในตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์
มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานคดีในฐานะหัวหน้าพนักงานอัยการในท้องที่จังหวัดสุรินทร์
ดำเนินคดีและฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลชั้นต้น
รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องในฐานะพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 เมื่อวันที่ 5
กันยายน 2550
เจ้าพนักงานสถานีตำรวจภูธรปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกันจับกุมนายอาทิตย์ พร้อมแจ้งข้อหานำยาเสพติดให้โทษในประเภท
1 (เมทแอมเฟตามีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
กับเสพเมทแอมเฟตามีน ต่อมาวันที่ 27
พฤศจิกายน 2550 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปราสาท ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวนายอาทิตย์ไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์
โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้อง
จำเลยเป็นเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าวในชั้นการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ วันที่ 2, 4 และ 14 ธันวาคม 2550
จำเลยเดินทางไปที่บ้านของนายอภิศักดิ์ บิดานายอาทิตย์ ผู้ต้องหา แพทย์หญิงภาวนา
ภริยานายอภิศักดิ์เป็นผู้บันทึกภาพและเสียงการสนทนาของจำเลยตามแผ่นซีดีหมาย วจ.1
และ วจ.2 กับเป็นผู้ถอดเทปการสนทนาดังกล่าว เสียงผู้ชายที่พูดในแผ่นซีดีหมาย วจ.1
แผ่นที่ 1, 2, 6, 8
และแผ่นที่ 10
(วจ.2 แผ่นที่ 1) เป็นเสียงของจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า
จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ เห็นว่า
จำเลยเป็นพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน ไม่มีหน้าที่ต้องเดินทางไปที่บ้านของนายอภิศักดิ์
บิดานายอาทิตย์ผู้ต้องหาเพื่ออธิบายข้อกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินคดีให้ผู้ต้องหาและญาติผู้ต้องหาทราบ
อีกทั้งการที่จำเลยเดินทางไปที่บ้านของนายอภิศักดิ์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ถึง 3
ครั้ง ขณะที่จำเลยรับราชการอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์
โดยนำสำนวนการสอบสวนและหนังสือที่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมไปแสดงแก่ฝ่ายแพทย์หญิงภาวนาด้วยนั้น
นับเป็นข้อพิรุธผิดปกติวิสัยของพนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
จะไม่กระทำเช่นนั้น แต่กลับส่อพฤติกรรมให้เชื่อว่าไปติดต่อให้ฝ่ายผู้ต้องหาวิ่งเต้นล้มคดีกับจำเลยเสียมากกว่า
ข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า
จำเลยเป็นเจ้าของสำนวนยังไม่ได้มีความเห็นทางคดีว่าจะสั่งคดีประการใด
แพทย์หญิงภาวนาจึงวางแผนให้จำเลยถูกย้ายเพื่อไม่ให้จำเลยมีอำนาจในการสั่งคดีของนายอาทิตย์
โดยทำการบันทึกภาพและเสียงของจำเลย นั้น ปรากฏตามบันทึกถอดเทปการสนทนาว่าแพทย์หญิงภาวนาพยายามขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือนายอาทิตย์เนื่องจากนายอาทิตย์ไม่ได้นำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร
ซึ่งจำเลยก็มิได้ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเพียงแต่รอให้ทางฝ่ายแพทย์หญิงภาวนาเสนอจำนวนเงินเท่านั้น เช่นนี้
ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่แพทย์หญิงภาวนาจะวางแผนกลั่นแกล้งจำเลยให้ถูกย้ายจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์เพราะบุคคลที่จะเสียประโยชน์ทางคดี
เป็นนายอาทิตย์ผู้ต้องหาเอง
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า
การบันทึกภาพและเสียงการสนทนา เป็นการหลอกลวงให้จำเลยตอบคำถาม
ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ไม่อาจรับฟังพยานหลักฐานแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงการสนทนา
ตลอดจนบันทึกถอดเทปการสนทนามาลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่า
จำเลยเป็นพนักงานอัยการผ่านการว่าความในคดีต่าง ๆ
เป็นจำนวนมากกว่าจะได้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดสุรินทร์
จำเลยย่อมคุ้นเคยกับการซักถามพยานในรูปแบบต่าง ๆ เป็นอย่างดี กอปรกับตามบันทึกถอดเทปการสนทนา
แพทย์หญิงภาวนาก็ใช้คำถามในลักษณะปกติไม่อาจอยู่ในวิสัยที่จะหลอกลวงจำเลยที่มากประสบการณ์ในทางคดีได้
ตรงกันข้ามจำเลยกลับพูดอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อพยายามโน้มน้าวให้เห็นว่าข้อหานำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษถึงประหารชีวิต
และการให้จำเลยสั่งไม่ฟ้องนายอาทิตย์ในข้อหาดังกล่าวเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องไปเสี่ยงในการต่อสู้คดีชั้นศาล
ส่อแสดงว่าจำเลยตอบคำถามของแพทย์หญิงภาวนาด้วยความสมัครใจ
แม้การแอบบันทึกภาพและเสียงการสนทนาระหว่างจำเลยกับฝ่ายแพทย์หญิงภาวนาตามแผ่นซีดีหมาย
วจ.1 และ วจ.2 เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 วรรคหนึ่ง
บัญญัติให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ ถ้าการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา
ดังนั้น แผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงการสนทนาตามหมาย วจ.1 และ วจ.2 รวมทั้งบันทึกการถอดเทปดังกล่าวแม้จะได้มาไม่ชอบ
แต่เมื่อศาลนำมาฟังจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา
ศาลจึงนำพยานหลักฐานข้างต้นมารับฟังได้ หาเป็นการละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551
หลังเกิดเหตุคดีนี้ จึงนำมาใช้แก่จำเลยไม่ได้นั้น
เห็นว่า
บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติและมีผลใช้บังคับทันทีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ
คือวันที่ 8
กุมภาพันธ์ 2551
กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลัง ศาลจึงมีอำนาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 226/1
มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปอีกว่า
แผ่นซีดีหมาย วจ.1 และ วจ.2 มีการตัดต่อ เติมแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทสนทนาที่ไม่ครบถ้วนถูกต้องนั้น
ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของว่าที่ร้อยตำรวจเอกธัญญสิทธิ์ เจ้าพนักงานกลุ่มงานตรวจพิสูจน์อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พยานจำเลยเบิกความประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ว่า
แผ่นซีดีหมาย วจ.1 แผ่นที่ 1, ที่
2, ที่ 4,
ที่ 6 และแผ่นที่ 10 ไม่พบการตัดต่อ พยานปากนี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่ไปตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
ไม่มีข้อน่าระแวงว่าจะเบิกความหรือจัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ให้ผิดไปจากความเป็นจริง
คำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง เมื่อพิจารณาเนื้อหาจากบันทึกการถอดเทป ได้ความว่า จำเลยแจ้งให้ฝ่ายแพทย์หญิงภาวนาทราบว่าค่าใช้จ่ายในการสั่งไม่ฟ้องนายอาทิตย์ข้อหานำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเงิน
9,000,000 บาท โดยจำเลยจะทำการตกแต่งสำนวนการสอบสวนใหม่ด้วยวิธีสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามข้อเท็จจริงที่จำเลยต้องการ พร้อมกับจำเลยจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อจำเลยจะสั่งไม่ฟ้องนายอาทิตย์ในข้อหาดังกล่าว
อันเป็นการที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่ของจำเลย
ทั้งยังเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานอัยการสูงสุดและนายอาทิตย์
กับเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3
พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า
มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยหรือไม่
เห็นว่า จำเลยเป็นอัยการจังหวัดสุรินทร์ พึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตให้สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทนายความของแผ่นดิน
แต่จำเลยกลับอาศัยตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ซึ่งมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม
พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงตามบันทึกการถอดเทปสนทนาเชื่อได้ว่า จำเลยมิได้กระทำการเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เนื่องจากจำเลยยกตัวอย่างคดีอื่นที่จำเลยเคยสั่งไม่ฟ้องมาแล้วโดยฝ่ายผู้ต้องหาจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทน
จึงสมควรลงโทษเพื่อมิให้เจ้าพนักงานอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 10 ปี นั้น เหมาะสมแล้ว และเมื่อจำเลยต้องโทษจำคุกเกินกว่าห้าปี
กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 56
ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน