โจทก์ฟ้องว่านายผ่อน นางแขบิดามารดาโจทก์มีบุตร ๒ คนคือ โจทก์และนายกร บิดามารดาได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์กับนายกร นายกรและบิดามารดาได้วายชนม์แล้ว ทรัพย์สมบัติจึงตกได้แก่โจทก์ผู้เดียวตามพินัยกรรม ต่อมาโจทก์ได้ขอโอนรับมรดกโฉนดเลขที่ ๑๓๐๑ จำเลยคัดค้าน อ้างว่าเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๙๖ นางแขมารดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองยกโฉนดที่ดินท้ายฟ้องรวมราคา ๑๔๒,๐๐๐ ่บาทให้จำเลยกับน.ส.พูลทวี น.ส.ตุ๊ จำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้นางแขทำพินัยกรรมและทำไม่ถูกต้องตามแบบพินัยกรรมฝ่ายเมือง ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนพินัยกรรม
จำเลยต่อสู้ว่าพินัยกรรมดังกล่าวไม่มี และถูกลบล้างไปโดยพินัยกรรมซึ่งนายผ่อน นางแขได้ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ แล้ว และนางแขได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๙๖ ยกทรัพย์สินให้จำเลยและน.ส.พูลทวี น.ส.ตุ๊ โดยตัดโจทก์ออกจากทายาทแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารฝ่ายเมืองที่จำเลยอ้างนั้นมีนายโอภาส เทพณรงค์ปลัดอำเภอเป็นผู้บันทึกใน ฐานะเป็นกรมการอำเภอเมืองภูเก็ต และมีนายแสวง นายนิทัศน์ลงชื่อเป็นพยาน ๒ นายถูกต้องบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๕๘ แล้ว แม้จะปรากฎว่านายแสวงเป็นปลัดอำเภอและนายนิทัศน์เป็นเสมียนอำเภอลงชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมก็หาทำให้พินัยกรรมนั้นเสียไปอย่างใดไม่ และฟังว่าขณะทำพินัยกรรมนางแขมีสติดี พิพากษายืน