คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 358 ระหว่างการพิจารณานางสาวฟ้า ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยที่ 2 นำโฉนดที่ดินเลขที่ 5793 มาเป็นหลักประกันในการขอปล่อยตัวจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชั่วคราว ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง ให้รอการกำหนดโทษจำเลยทั้งสามไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามแก้อุทธรณ์ หลังจากศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว วันที่ 29 เมษายน 2565 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น 2 ฉบับ คำร้องฉบับแรกโจทก์ร่วมอ้างว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 5793 เป็นของโจทก์ร่วม ขอให้เพิกถอนการใช้โฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกันตัวของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คำร้องฉบับที่สองโจทก์ร่วมอ้างว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดซ้ำ ขอให้กำหนดโทษ ที่รอการกำหนดโทษไว้และลงโทษจำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งคำร้องทั้งสองฉบับของโจทก์ร่วมไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ส่งคำร้องฉบับแรกของโจทก์ร่วมคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป และมีคำพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ขอให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลยทั้งสามเพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 วันที่ 7 มิถุนายน 2565 ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องฉบับแรกของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมยื่นคำร้องภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว สัญญาประกันระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นสิ้นสุดลง ไม่จำต้องพิจารณาสั่งเกี่ยวกับหลักประกันอีก ให้ยกคำร้อง โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องฉบับที่สองของโจทก์ร่วม วันที่ 20 ธันวาคม 2565 ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องฉบับที่สองของโจทก์ร่วมว่า เมื่อกรณียังไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเคยถูกพิพากษาว่ามีความผิดในคดีใดขึ้นอีก ทั้งคดีตามที่โจทก์ร่วมกล่าวอ้างมาในคำร้องยังอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และพฤติการณ์ที่โจทก์ร่วมอ้างตามคำร้องถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ยังไม่มีเหตุที่จะกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสาม ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสามในคดีนี้ต้องคำพิพากษาให้รอการกำหนดโทษและคดีถึงที่สุดแล้ว ที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสามตามที่ศาลชั้นต้นรอการกำหนดโทษไว้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องการบวกโทษว่า ศาลที่พิพากษาคดีหลังจะกำหนดโทษที่รอการกำหนดโทษไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง แสดงว่าการขอในกรณีเช่นนี้กฎหมายประสงค์ให้โจทก์ในคดีหลังยื่นคำขอให้บวกโทษ จะมายื่นคำร้องในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีก่อนและถึงที่สุดแล้วไม่ได้เพราะจะเป็นการแก้ไขคำพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้อายัดโฉนดที่ดินเลขที่ 5793 และมีคำสั่งให้โอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมยื่นคำร้องฉบับแรกขอให้เพิกถอนการใช้โฉนดที่ดินเลขที่ 5793 เป็นหลักประกันตัวของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง การที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้อายัดโฉนดที่ดินเลขที่ 5793 เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จึงไม่ชอบ และย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ร่วมที่จะฎีกาต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง, 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
และที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้สั่งจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง 254,500 บาท แก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมเพิ่งยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายืน