โจทก์ฟ้องว่า นายเสริมจำเลยที่ ๒ นายสุขสันต์ จำเลยที่ ๓ ได้ซื้อเชื่อสิ่งของในนามห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ รู้และยินยอม โจทก์ส่งของไปให้จำเลยที่ ๑ หลายครั้งรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๓๑,๕๐๑.๒๐ บาท ได้ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระจึงขอให้จำเลยร่วมกันรับผิด
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ สำหรับจำเลยที่ ๓ โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ระยะแรกจำเลยที่ ๑ ได้เชิดจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทน ฉะนั้น จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้เดียว ส่วนระยะหลังจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในการสั่งซื้อของต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๓๑,๐๒๐.๖๕ บาท และให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๑๐๐,๔๘๐.๕๕ บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาซื้อขายกิจการและโรงงานต่อกัน แต่ยังรอการโอนกรรมสิทธิ์ต่อกันอยู่ กิจการและโรงงานจึงยังเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ มอบกิจการและโรงงานให้จำเลยที่ ๒ ไปดำเนินการตลอดทั้งมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ทำการจำนองจำนำทรัพย์สินต่าง ๆ ของโรงงานได้ด้วย เห็นว่ากิจการโรงงานนี้ย่อมเป็นที่รู้อยู่ว่าจะต้องมีการซื้อสิ่งของอันเป็นเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ มาใช้ในโรงงานและกิจการของโรงงาน และกลายเป็นทรัพย์อันติดไปกับโรงงานและกิจการของโรงงาน จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานและกิจการก็ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ซื้อมาใช้นั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการกิจการก็ได้รับประโยชน์จากผลผลิตจากโรงงาน และเป็นประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองตามสัญญาซื้อขาย ฉะนั้นตามพฤติการณ์ระหว่างจำเลยทั้งสองจึงแสดงว่า การที่จำเลยที่ ๑ มอบกิจการและมอบอำนาจแก่จำเลยที่ ๒ นั้น เป็นการมอบให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินกิจการอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๒ สำหรับเงินค่าซื้อของเชื่อ ๑๐๐,๔๘๐.๕๕ บาทด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินอีก ๑๐๐,๔๘๐.๕๕ บาท ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ด้วย นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์