โจทก์ฟ้องว่า ข้าหลวงประจำจังหวัดซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การค้าข้าวได้ออกประกาศให้ผู้ข้าวเปลือกในครอบครองตั้งแต่ ๕ เกวียนหลวงขึ้นไปต้องแจ้งปริมาณและสถานที่เก็บ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ภายในวันที่กำหนด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองข้าวเปลือกจ้าวรวม ๑๐ เกวียน ได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงานเจ้าห้าที่ ณที่ว่าการอำเภอบางเขนว่า จำเลยมีข้าวเปลือกอยู่เพียง ๕ เกวียน โดยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ ชั้นแรกจำเลยปฏิเสธแล้วรับสารภาพ แต่แล้วกลับปฏิเสธอีก โจทก์นำสืบว่าได้ตรวจสอบข้าวมี ๑๐ เกวียน จำเลยนำสืบว่า มี ๘ เกวียน ของจำเลย ๕ เกวียน อีก ๓ เกวียนเป็นค่าเช่านาซึ่งจำเลยจะต้องให้แก่เจ้าของนา ๆ ฝากไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนข้าวของกลาง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามประกาศให้ผู้มีข้าวอยู่ในความครอบครองเป็นผู้แจ้งปริมาณ มิใช่ถือว่าข้าวเป็นของใครผู้นั้นเป็นผู้แจ้ง และฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทำผิดเวลาใดก็จริงแต่ปรากฏว่าจำเลยไปแจ้งปริมาณที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเข้าใจว่าในเวลาราชการตามปกติต้องเป็นเวลากลางวัน จำเลยย่อมเข้าใจข้อหาที่เกี่ยวกับเวลากระทำผิดได้ดี ไม่เคลือบคลุม พิพากษากลับให้ปรับ ๑๐๐ บาทข้าวเปลือกของกลางริบ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า เวลาตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘(๕) นั้นหมายความถึงวันเดือนปีด้วย ไม่หมายเฉพาะเวลากลางวันหรือกลางคืน
คำฟ้องที่ไม่กล่าวถึงเวลากลางวันหรือกลางคืนนั้น หรือกลางวันนั้นจะเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไปว่า ฟ้องนั้นกล่าวถึงเวลาพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีหรือไม่ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้กล่าวชัดแจ้งแล้ว ไม่มีเหตุอะไรที่จำเลยจะอ้างว่า ไม่เข้าใจข้อหาเกี่ยวแก่เรื่องเวลาเลย และเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องแจ้งปริมาณ ตลอดทั้งข้าวที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย
พิพากษายืน