โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกับพวกได้ก่อตั้งบริษัทสหการแพทย์  แต่ไม่บรรลุผลคงดำเนินกิจการต่อมาในนามของสหการแพทย์สถาน  แล้วศาลฎีกาได้พิพากษาว่า  กิจการนั้นเป็นกิจการห้างหุ้นส่วนสามัญตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๔๐๒/๒๔๙๒  ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนได้ตกลงเลิกกิจการ  และตั้ง  ม.ร.ว. ทองแท่งเป็นผู้ชำระบัญชี  แต่ได้ลาออกไปจึงตั้งนายมาลาแทน  ปรากฏจากการชำระบัญชีว่าจำเลยเบิกเงินหรือยืมเงินของห้างหุ้นส่วนไป ๕๓๔,๓๘๕.๑๕ บาท  นายมาลาจึงฟ้องเรียกคืน  ศาลฎีกาพิจารณายกฟ้อง  เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมด  และนายมาลาจะเป็นผู้ชำระบัญชีไม่ได้  ต่อมาหุ้นส่วนทุกคนได้ประชุมลงมติตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีและมอบอำนาจให้ทวงหนี้และฟ้องคดี  จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การรับบางข้อ  ปฏิเสธบางประการ  แล้วฟ้องแย้งหลายประการ
ศาลแพ่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
เมื่อศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาแล้วก็นัดชี้แล้วนัดพร้อม  และสั่งงดสืบพยาน  แล้วพิพากษายกฟ้อง  อ้างว่าไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกให้ดำเนินการพิจารณาและพิพากษาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า การที่ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญมิได้จดทะเบียน  ได้ตั้งผู้ชำระบัญชีมอบอำนาจให้นำคดีขึ้นสู่ศาลได้นั้น  ก็เหมือนกับเจ้าของรวมมอบอำนาจฟ้องร้องว่ากล่าวเอากับลูกหนี้ซึ่งจะต้องรับผิดต่อทรัพย์อันเป็นกรรมสิทธิ์รวมนั้น  ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจย่อมใช้สิทธิของเจ้าของรวมเรียกร้องเอาจากเจ้าของรวมแต่ละคนซึ่งมีหนี้โดยเฉพาะตัวได้  โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
ปัญหาต่อไปที่ว่าจำเลยได้เป็นลูกหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญนี้หรือไม่  นั้น  ก็ได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกหรือยืมเงินของห้างหุ้นส่วนสามัญไป  จำเลยต่อสู้ว่า  เงินนี้เป็นเงินกำไรส่วนของจำเลย  เมื่อเลิกแล้วยังมีกำไร ๑ ล้านบาท  จำเลยมีส่วนได้อยู่ไม่น้อยกว่า ๗ แสนบาท  ในรายงานพิจารณาของศาลแพ่งปรากฏว่า  โจทก์ยังไม่สามารถที่จะแถลงยืนยันว่าขณะนี้  ห้างหุ้นส่วนรายนี้ไม่มีเจ้าหนี้ใช่หรือไม่  และเมื่อเลิกห้าง  ห้างมีกำไรประมาณหนึ่งล้านบาท  พฤติการณ์แห่งคดีโจทก์เป็นดังนี้  เห็นว่าขณะฟ้องจำเลยนี้  โจทก์ยังยืนยันไม่ได้ว่าจำเลยได้เป็นลูกหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญ  เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ วรรคแรกได้บัญญัติไว้ว่า  "ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน  และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าที่จำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้"  ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อห้างหุ้นส่วนเลิกกัน
ผู้ถือหุ้นแต่ละคนต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนตามส่วนแห่งจำนวนที่ตนถือหุ้นอยู่  ส่วนของจำเลยที่มีสิทธิได้รับแบ่งจากห้างหุ้นส่วนและหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกก็มีวัตถุเป็นเงินอย่างเดียวกัน  และมาตรา ๓๔๒ วรรคแรก  ก็ได้บัญญัติไว้ว่า  "หักกลบลบหนี้นั้น  ทำได้ด้วยคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง  การแสดงเจตนาเช่นนี้จะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสิ้นสุดอีกด้วยหาได้ไม่"  และในวรรคสองก็ได้บัญญัติไว้ว่า  "การแสดงเจตาดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านว่ามีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นอาจหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก"
ตามฟ้อง  คำให้การจำเลยและคำแถลงของคู่ความดังกล่าว  เห็นได้ว่าจำเลยก็มีสิทธิอยู่ในเงินจำนวนหนึ่ง  อันเป็นส่วนของจำเลยตามจำนวนหุ้น  จากการแบ่งทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนที่เลิกกันนั้น  หนี้ที่โจทก์อ้างว่าเบิกไปจากห้างหุ้นส่วนก็เป็นการกระทำในกิจการของห้างหุ้นส่วน  คือการที่ห้างหุ้นส่วนจ่ายกำไรไปให้แก่หุ้นส่วนโดยยังไม่ได้คิดบัญชีกัน  คดีนี้จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของจำเลยที่มีอยู่ตามกฎหมายดังได้กล่าวมา  เมื่อได้มีการเลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นแล้ว  ก็ยังไม่ปรากฏได้ว่าทำบัญชีงบดุลขึ้นแต่อย่างใด
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่จึงเห็นว่า  ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้  ประกอบกับคำให้การและถ้อยแถลงในคดี  โจทก์ยังแสดงไม่ได้ว่าจำเลยได้เป็นลูกหนี้ของห้างหุ้นส่วนนี้  โจทก์ยังไม่มีสิทธินำคดีขึ้นฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง  จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์  แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีขึ้นฟ้องใหม่เมื่อมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเมื่อหักกลบลบหนี้แล้วจำเลยยังเป็นหนี้อยู่ ฯลฯ