โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๒,๕๑๖,๙๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ หรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒,๕๑๖,๙๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาทและให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่ได้แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๒,๕๑๖,๙๓๖ บาท ให้แก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อาวัล เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันรับผิด ส่วนจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว โดยก่อนที่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนจะถูกฟ้องคดีนี้ ได้ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการทั้งหมด ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๒ จะดำเนินการแก้ไขฐานะและการดำเนินการตามแนวนโยบายของทางการ ทั้งนี้เว้นแต่การกระทำการที่กำหนดไว้ในคำสั่งและภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๑๙๘/๒๕๔๐ และต่อมาเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ คณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (คณะกรรมการ ปรส.) ได้มีประกาศเรื่อง การขอรับชำระหนี้สำหรับเจ้าหนี้และการจัดสรรเงินจากการขายทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗ (๓) และมาตรา ๑๖ (๓) แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๐ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายมีว่า โจทก์ยังมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินในฐานะผู้รับอาวัลได้หรือไม่ หรือจะต้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศของ ปรส. ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า แม้กระทรวงการคลังจะมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ ระงับการดำเนินกิจการก็ตาม คำสั่งดังกล่าวมิได้มีผลให้หนี้ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ระงับไป จำเลยที่ ๒ ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่เช่นเดิม ส่วนการบังคับชำระหนี้จะดำเนินการโดยวิธีใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อพิจารณาประกอบกับมาตรา ๒๖ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่ากฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่เฉพาะจะฟ้องบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องเป็นคดีล้มละลาย ในระหว่างดำเนินการตามแผนเพื่อการแก้ไขฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ปรส. ไม่ได้เท่านั้น ส่วนประกาศของคณะกรรมการ ปรส. ว่าด้วยการยื่นคำขอรับชำระหนี้ก็มิได้บังคับว่า เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ ปรส. เท่านั้น และโดยสภาพของคดีนี้โจทก์ไม่มีทางยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ เพราะวันที่โจทก์ยื่นฟ้อง คือวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ยังไม่มีประกาศของคณะกรรมการ ปรส. ออกมาใช้บังคับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่ได้แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.