เนื่องมาจากศาลภาษีอากรกลางพิพากษาคดีโดยจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้จำเลยชำระค่าภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเงินเพิ่มแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่9 ธันวาคม 2530 ขอให้พิจารณาคดีใหม่ โจทก์ทั้งสองคัดค้านศาลภาษีอากรกลางอนุญาตให้ทำการพิจารณาคดีใหม่ โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า ในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์วันที่ 25 พฤศจิกายน 2530จำเลยได้ยื่นคำร้องเมื่อเวลา 15 นาฬิกา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205แล้วจึงต้องห้ามมิให้ร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อีกนั้น เห็นว่าจำเลยยื่นคำร้องฉบับแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2530 เวลา 15 นาฬิกาเป็นระยะเวลาซึ่งศาลภาษีอากรกลางพิจารณาคดีเสร็จแล้ว และศาลภาษีอากรกลางก็ได้สั่งยกคำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลย เพราะเหตุมิใช่กรณีที่คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้วดังที่มาตรา 205 บัญญัติไว้ หากแต่จำเลยได้มายื่นคำร้องเมื่อการพิจารณาคดีเสร็จแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 205 ดังกล่าว ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้ร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องขอลงวันที่ 9 ธันวาคม 2530 อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ข้อต่อมาว่า ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่จำเลยไม่ได้อ้างว่าทนายจำเลยลืมสำนวนคดีไว้ที่สำนักงานทนายความเพิ่งจะมากล่าวอ้างในชั้นไต่สวน แสดงให้เห็นเป็นพิรุธว่าทนายจำเลยลืมวันนัดเพิ่งมานึกได้เมื่อเวลา 15 นาฬิกา และจำเลยอ้างว่าในวันนัดเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ทนายจำเลยได้โทรศัพท์สอบถามมายังศาลภาษีอากรกลางทราบว่า ศาลได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาไปแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถมาศาลตามกำหนดเวลาได้ให้ศาลทราบนั้น เห็นว่าตามทางไต่สวน จากพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายได้ความว่าในวันนัดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2530 ได้มีการทำพิธีซ้อมสวนสนามที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และทางราชการได้ปิดกั้นถนนบริเวณดังกล่าว นายพรชัย วรสายัณห์ ทนายจำเลยเบิกความยืนยันว่าพยานไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการปิดกั้นถนนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อพยานขับรถยนต์จะมายังศาลภาษีอากรกลางผ่านทางถนนที่ถูกปิดกั้น เป็นเหตุให้รถยนต์ของพยานติดอยู่ที่บริเวณหน้าวิทยาลัยเทคโนโลยีวิทยาเขตพระนคร จนกระทั่งเวลาประมาณ 10นาฬิกา แม้ว่าทนายจำเลยจะต้องกลับไปเอาสำนวนคดีซึ่งลืมไว้ที่สำนักงานทนายความก่อน หากถนนไม่ถูกปิดกั้นก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าทนายจำเลยจะมาศาลได้ทันกำหนดเวลา ที่จำเลยมิได้กล่าวข้อเท็จจริงนี้ไว้ในคำร้อง ก็ไม่เป็นพิรุธถึงกับทำให้รับฟังคำเบิกความของนายพรชัยทนายจำเลยไม่ได้ และการที่ทนายจำเลยมิได้โทรศัพท์แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ก็อาจเป็นเพราะว่าเวลานัดได้ล่วงเลยไปแล้ว และทนายจำเลยก็ตั้งใจจะยื่นคำร้องแสดงเหตุให้ศาลทราบในวันนั้นอยู่แล้ว จึงไม่เป็นเหตุที่จะฟังว่าทนายจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า มีเหตุสมควรเชื่อว่า ทนายจำเลยไม่สามารถมาศาลได้ตามกำหนดนัด ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายที่ว่า คำร้องของจำเลยมิได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลภาษีอากรกลางนั้น ปรากฏว่าจำเลยได้กล่าวไว้ในคำร้องแล้วว่าคำตัดสินชี้ขาดของศาลไม่ชอบด้วยเหตุผลตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยอ้างว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้โอนสินค้าพิพาท ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีอากรให้แก่บุคคลภายนอกที่มิได้รับการยกเว้น อันเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียภาษีตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 มาตรา 10 และสินค้าพิพาทยังอยู่ในความครอบครองของกองทัพอากาศ เหตุการยกเว้นภาษีอากรยังไม่สิ้นสุดลง จำเลยจึงไม่ต้องเสียภาษีอากรตามฟ้องศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในคำร้องของจำเลยเป็นการบรรยายเหตุผลและรายละเอียดชัดแจ้งตามสมควรเป็นการคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลภาษีอากรกลางซึ่งพิพากษาให้จำเลยเสียภาษีอากรแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้องแล้ว คำขอของจำเลยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 และ 208 แล้ว"
พิพากษายืน