โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173, 174 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์และจำเลยรู้จักกันมาก่อน ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ โจทก์รื้อถอนอาคารหลังเก่าบนที่ดินของจำเลยแล้วก่อสร้างร้านอาหาร โดยจำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้าง รวมทั้งมอบโต๊ะ เก้าอี้และอุปกรณ์เครื่องครัวให้โจทก์นำไปใช้ที่ร้าน หลังจากโจทก์เปิดร้านได้ 2 วัน ก็ปิดร้านพร้อมกับนำโต๊ะ เก้าอี้ สายไฟฟ้า ถังผสมปูน และทรัพย์สินอื่นไปไว้ที่บ้านโจทก์ วันที่ 23 เมษายน 2561 จำเลยไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ข้อหายักยอกและทำให้เสียทรัพย์ ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 หรือไม่ ที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรฝางก็โดยอาศัยคำแจ้งความของจำเลย ทางพิจารณาได้ความว่า ก่อนที่จำเลยไปแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ โจทก์จำเลยตกลงลงทุนทำร้านอาหารบนที่ดินของจำเลยในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยรื้อถอนอาคารหลังเก่า แล้วก่อสร้างอาคารหลังใหม่เพื่อเปิดเป็นร้านอาหาร จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้าง รวมทั้งมอบโต๊ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์เครื่องครัวให้โจทก์นำไปใช้ที่ร้าน แต่การก่อสร้างอาคารหลังใหม่ยังไม่แล้วเสร็จดี โจทก์เปิดร้านขายอาหารได้ 2 วัน ก็ปิดร้านพร้อมขนโต๊ะ เก้าอี้ สายไฟฟ้า ถังผสมปูนและทรัพย์สินอื่น ๆ ไปไว้ที่บ้านโจทก์ในอำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ พิเคราะห์แล้ว ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นในคดีที่จำเลยแจ้งความ แม้พนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีแก่โจทก์ในความผิดข้อหายักยอก แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวโดยเห็นว่าหลักฐานไม่พอก็ตาม คำสั่งของพนักงานอัยการดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นที่พิจารณาสั่งไปตามพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันคดีนี้ให้ต้องพิจารณาไปตามนั้น เพราะที่จะเป็นความผิดข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ นอกจากจะต้องแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว ผู้กระทำจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จด้วย แต่คดีนี้จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรฝางตามข้อความที่ระบุไว้ในสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เห็นได้ว่าเป็นการแจ้งความตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่จำเลย โดยมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่าต้องดำเนินคดีแก่โจทก์ ส่วนการจะตั้งข้อหาดำเนินคดีแก่โจทก์หรือไม่ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน หาได้เกิดจากการกระทำของจำเลยโดยตรง กรณียังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน