โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 824 จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าถือการครอบครองในที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และต้นไม้ที่ปลูกในที่ดินของโจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่ควรจะได้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์เดิมเป็นที่ดินแปลงใหญ่มีสภาพเป็นป่า ต่อมาทางราชการอนุญาตให้ประชาชนที่ยากจนเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยแบ่งเป็นแปลงเท่า ๆ กัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 โดยทางราชการออกหลักฐานเป็นใบจอง (น.ส.2) ให้ไว้ จำเลยทั้งสองต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของตนตลอดมา จนถึงปี พ.ศ. 2518 นายอิ่นคำ กรุงศรีกำนัน ตำบลแม่หล่ายได้แจ้งให้ประชาชนรวมทั้งจำเลยทั้งสองทราบว่าทางราชการต้องการที่ดินคืน ไม่ให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ต่อไปและให้ออกจากที่ดินจำเลยทั้งสองหลงเชื่อจึงออกจากที่ดินและเฝ้าดูตลอดมาไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเข้าทำประโยชน์จนถึงต้นปีพ.ศ. 2529 จำเลยทั้งสองรู้ว่าทางราชการมิได้เวนคืนที่ดินเหล่านั้น จึงกลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในส่วนที่เคยครอบครองมา แต่ถูกโจทก์โต้แย้ง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ตามฟ้องออกโดยไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกสร้างลงในที่ดินของโจทก์ และส่งมอบที่ดินนั้นในสภาพใช้การได้ดีดุจเดิม โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเอง และห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 จนถึงปีพ.ศ. 2518 จึงได้อพยพออกจากที่ดินพิพาทไปเพราะถูกนายอิ่นคำกำนัน หลอกลวงว่าทางราชการต้องการที่ดิน แต่จำเลยที่ 2ก็ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทอีกในปี พ.ศ. 2529 การครอบครองจึงไม่สิ้นสุดลงนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาทไปเป็นเวลา 10 ปีเศษ โดยไม่ได้มาใช้สิทธิเหนือที่ดินพิพาทเลยเป็นการทอดทิ้งทรัพย์ที่ครอบครองไป แม้จะถูกบุคคลอื่นหลอกว่าทางราชการต้องการที่ดินคืน ก็หาใช่เป็นเหตุขัดข้องชั่วคราวมาขัดขวางการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 วรรคสอง ไม่ ที่จำเลยที่ 2 เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทครั้งหลังก็ถูกโจทก์โต้แย้ง การครอบครองของจำเลยที่ 2 จึงสิ้นสุดลงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"
พิพากษายืน