โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนายแล่น ซึ่งตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ราว ๔-๕ ปีก่อนตายนายแล่นได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากับจำเลย แต่มิได้จดทะเบียนสมรส เมื่อตายนายแล่นมีสินเดิมคือ ที่นา ๑๐ ไร่ ราคา ๕,๐๐๐ บาท กับมีทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกับจำเลยราคา ๗,๐๐๐ บาท ตามบัญชี ข. ขอให้จำเลยส่งที่นาหรือใช้ราคากับส่งทรัพย์ตามบัญชี ข. กึ่งหนึ่ง หรือใช้ราคาแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกแต่ผู้เดียว ที่นาตามบัญชี ก. นั้นไม่ใช่สินเดิม หรือสินส่วนตัวของนายแล่น ๆกับจำเลยช่วยกันทำมาหากินจนมีทรัพย์ตามบัญชี ก. ข. เมื่อนายแล่นป่วยจนถึงแก่ความตาย จำเลยได้ใช้เงินค่ารักษาพยาบาล ค่าพาหนะ ค่าปลงศพและทำบุญไปไม่ต่ำกว่า ๔,๐๐๐ บาท โดยโจทก์กับพวกมิได้ช่วยเหลือในค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่นาตามบัญชี ก. นายแล่นมีอยู่ก่อนที่จะอยู่กินกับจำเลย พิพากษาให้จำเลยส่งให้โจทก์ ถ้าส่งไม่ได้ ให้ใช้ราคา กับให้ส่งทรัพย์ตามบัญชี ข. กึ่งหนึ่งหรือใช้ราคาแก่.โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาเกี่ยวกับที่นาตามบัญชี ก. และว่าค่ารักษาพยาบาลและค่าทำศพผู้ตายที่จำเลยออกไปนั้นเป็นหนี้ที่กองมรดกจะต้องชำระให้จำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่นาตามบัญชี ก. เป็นทรัพย์สินดั้งเดิมของผู้ตาย ผู้ตายทำเป็นไร่อ้อยมาก่อนได้จำเลยเป็นภรรยา เมื่อ ๓ ปีมานี้ จึงสร้างคันนาทำเป็นนาขึ้น การที่จำเลยลงแรงช่วยผู้ตายทำไร่และต่อมาดัดแปลงเป็นนา ไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะอ้างว่าจำเลยได้มีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือถือว่าผู้ตายสละการครอบครองให้จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าอขงร่วมด้วย ยังต้องถือว่าเป็นทรัพย์เดิมของผู้ตายอยู่นั่นเอง
เมื่อจำเลยอยู่กินกับนายแล่นฉันสามีภรรยา เวลานายแล่นเจ็บป่วย หากจำเลยจะได้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ก็เป็นการสงเคราะห์กันตามหน้าที่ธรรมจรรยา ค่าใช้จ่ายนั้นย่อมไม่ใช่หนี้ที่นายแล่นหรือกองมรดกต้องชดใช้แก่จำเลย จำเลยจึงเรียกร้องเอาจากกองมรดกของนายแล่นไม่ได้ ส่วนค่าทำศพนั้น เมื่อจำเลยไม่ใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่จัดการทำศพของนายแล่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๙ ถ้าจำเลยออกเงินของจำเลยใช้จ่ายไปในการนี้ ก็จะขอให้หักทรัพย์มรดกใช้ให้จำเลยเสียก่อนในคดีนี้ไม่ได้
พิพากษายืน