คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 9,751,892.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 เมษายน 2531 ปรากฏว่าจำเลยมิได้ชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด โจทก์จึงยื่นคำขอให้บังคับคดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2531 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดิน รวม 8 แปลง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 6 ธันวาคม 2533 ว่าจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 46,657,800 บาทคดีของจำเลยมีทางชนะโจทก์ หากจำเลยชนะคดีโจทก์แล้วก็ไม่ต้องขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลย เพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 หากศาลอนุญาตให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยไม่สามารถชนะคดี หากงดการบังคับคดีไว้จะทำให้โจทก์เสียหายเพราะเพียงวันที่ 30 พฤศจิกายน2533 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 14,548,572.53 บาท ที่ดินของจำเลยมีราคาประมาณ 10,000,000 บาทเท่านั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของจำเลยไม่มีเหตุอันพึงรับฟังได้และมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 วรรคแรก จะบัญญัติให้สิทธิลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำขอทำเป็นคำร้องต่อศาลให้งดการบังคับคดีไว้ โดยเหตุที่ตนได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้นซึ่งศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดและถ้าหากตนเป็นฝ่ายชนะจะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตนโดยวิธีอื่นเพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก็ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล 2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่งและพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ได้พิจารณาข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วเห็นว่าตามคำฟ้องของจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 314/2532 จำเลยฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดและกล่าวอ้างบรรยายฟ้องว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ยอมให้จำเลยแบ่งแยกที่ดิน ทนายโจทก์กล่าวถ้อยคำที่โรงเรียนจำเลยถูกยึดขายทอดตลาดทำให้ครู อาจารย์ และนักเรียนไปทำงานและเรียนที่อื่น ทำให้จำเลยขาดรายได้ โจทก์เลื่อนการขายทอดตลาดโดยทุจริต ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ยังไม่แน่นอนว่าโจทก์กระทำดังจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ และความเสียหายมีจริงดังจำเลยเรียกร้องหรือไม่ ข้ออ้างจำเลยค่อนข้างเลื่อนลอยที่จะรับฟัง จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองถูกต้องและต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน