กรณีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงขอให้ศาลแรงงานกลางเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงว่า ได้ฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งเรียกค่าเสียหาย คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลแรงงานกลาง จึงขอให้รอคดีนี้ไว้ฟังผลคดีดังกล่าว ถ้าหากคดีดังกล่าวจำเลยชนะคดีก็อาจหักกลบลบหนี้กันได้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา เมื่อได้ออกคำบังคับแล้วจำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามโดยอ้างว่าได้ฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายอีกคดีหนึ่งเพื่อหักกลบลบหนี้กันนั้นเป็นคนละคดีกัน ไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ จึงให้ออกหมายบังคับคดีตามโจทก์แถลง
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คำแถลงของจำเลยพอแปลความได้ว่า จำเลยในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้งดการบังคับคดี โดยเหตุที่จำเลยได้ฟ้องโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันนั้น ซึ่งศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยและหากจำเลยเป็นฝ่ายชนะก็จะไม่ต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยเพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๓ การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา เมื่อศาลออกคำบังคับแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามโดยจำเลยอ้างว่าได้ฟ้องคดีโจทก์เรียกค่าเสียหายอีกคดีหนึ่งนั้น เห็นว่า ไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ จึงให้ออกหมายบังคับคดีเช่นนี้จึงมีผลเป็นว่า ศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้งดการบังคับคดีไว้นั่นเอง ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้งดการบังคับคดีเช่นนี้ จึงเป็นอุทธรณ์ดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย.