โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสะพานเหลือง เลขที่ ข ๒๒๑๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๐๖ เป็นจำนวนเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท ให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างทำรั้วสังกะสี แต่นายหว่องหวั่นหลีทำรั้วสังกะสีให้โจทก์ไม่เสร็จตามข้อตกลง โจทก์จึงอายัดเช็คนั้นไว้ ต่อมานายบวรได้นำเช็คดังกล่าวมาฟ้องโจทก์ในข้อหาอาญาว่าออกเช็คไม่มีเงินในคดีแดงที่ ๑๙๐๘/๒๕๐๖ ของศาลอาญา ครั้งในวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยนี้ได้สาบานตัวเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๕ นายหว่องหวั่นหลีได้นำเช็คดังกล่าวนั้นมาแลกเงินสดกับจำเลย และจำเลยได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับหาว่าเล่นการพนันไพ่เผร่วมกับนายหว่องหวั่นหลี แต่ตำรวจไม่ได้ยึดเช็คดังกล่าวไปจากจำเลย คงยึดแต่เงินสดในวงการพนันไปเท่านั้น ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงนายหว่องหวั่นหลีไม่เคยนำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดกับจำเลยและเช็คนั้นก็ได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเอาไปจากวงการพนันเป็นของกลางด้วย การเบิกความเท็จของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะถ้าศาลเชื่อคำของจำเลย โจทก์ก็อาจถูกศาลอาญาพิพากษาลงโทษในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นได้ และโจทก์อาจต้องใช้เงินแก่นายบวนไม่น้อยกว่า ๓๙,๐๐๐ บาท เหตุเกิดที่ศาลอาญา ตำบลพระราชวัง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องมีมูลประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ให้จำคุกจำเลย ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยที่หาว่าเท็จนั้น ไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดี พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์ได้ออกเช็คจำนวนเงิน ๓๙,๐๐๐ บาทนั้นให้นายหว่องหวั่นหลีเป็นค่าจ้างทำรั้วสังกะสี และมีนายเอี้ยวแซ นายหว่องหวั่นหลีกับจำเลยเป็นผู้สลักหลังเช็คนั้น ต่อมาเช็คนั้นได้ตกมาอยู่แก่นายบวรในฐานะผู้ทรงเช็ค นายบวรนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จึงแจ้งความพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ในฐานะผู้ออกเช็ค ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายอาก้อนโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยในคดีอาญาฐานออกเช็คไม่มีเงิน ซึ่งในที่สุดศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่นายอาก้อนโจทก์ได้อายัดเช็ครายนี้ไว้และไม่นำเงินเข้าบัญชีให้พอจ่ายตามเช็คนั้น ได้ทำไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต เพราะนายหว่องหวั่นหลีไม่ทำรั้วให้นายอาก้อนตามสัญญา จึงพิพากษายกฟ้อง ปล่อยตัวนายอาก้อนโจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๙๐๘/๒๕๐๖ ของศาลอาญา
ฉะนั้น การที่นายหว่องหวั่นหลีนำเช็ครายนี้ไปแลกเงินสดกับจำเลยหรือไม่ หรือตำรวจจะยึดเอาเช็คนั้นไปจากวงการพนันหรือไม่ จึงไม่เป็นข้อสำคัญแก่คดีที่จะทำให้นายอาก้อนต้องรับโทษในคดีเรื่องเช็คนั้นแต่อย่างใด แม้จำเลยจะเบิกความดังกล่าวโดยเป็นความเท็จ ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดีจึงยังไม่เป็นผิดดังฟ้อง
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย.