โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279,
317, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานาย ป. ผู้เสียหายที่ 1
ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279
วรรคหนึ่ง (เดิม), 317 วรรคสาม (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 1 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15
ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 28 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีกระทงเดียว
จำคุก 6 ปี
ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร
และความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 50,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ว.
ผู้เสียหายที่ 2 เป็นบุตรของนาย ป. ผู้ร้อง กับนาง ร. ขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ
อยู่ในความปกครองของผู้เสียหายที่
1
โดยพักอาศัยอยู่กับนาง ส. ผู้ที่ผู้เสียหายที่ 1
ฝากให้ดูแลแทน และเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ว. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่
กรณีเหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่บ้านจำเลยนั้น แม้จะได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ว่า จำเลยกระทำเพียงเรียกผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปในบ้าน แต่ก็เป็นการเรียกให้เข้าไปเอาขนมในบ้าน
จึงเป็นการกระทำโดยใช้ขนมมาล่อผู้เสียหายที่ 2
ซึ่งเป็นเด็กให้เข้าไปในบ้าน
ถือเป็นกลอุบายส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายที่ 2 มากระทำชำเรา และเมื่อผู้เสียหายที่
2 เข้าไปแล้ว จำเลยก็ได้ปิดประตูบ้าน
กรณีจึงนับได้ว่าเป็นการพาไปโดยแยกอำนาจปกครองจากผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ส่วนกรณีเหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ทุ่งนา และเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2560 บริเวณแท็งก์น้ำข้างศูนย์ตัดเย็บหมู่บ้านนั้น
การที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2
ไปกระทำชำเราที่ป่าละเมาะข้างทุ่งนาก็ดี และการที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 จากบริเวณแท็งก์น้ำเข้าไปกระทำอนาจารในซอกแท็งก์น้ำก็ดี ล้วนแต่เป็นการพาผู้เสียหายที่ 2 จากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน
กรณีจึงเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่
1
การกระทำของจำเลยทั้งสามเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเรา
กระทำอนาจารและพรากผู้เยาว์ทุกกระทงความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นจำนวนเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นทุกข้อ ส่วนฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 5 และมาตรา 9 ให้ยกเลิกความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และมาตรา 279 และให้ใช้ความใหม่แทน
แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทุกกระทงความผิด
กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย
ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ